หลังจากได้เห็นเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงและคนอื่นๆ ที่เป็นดั่งผู้กล้าแห่งยุค ทำให้อารมณ์ของหลินสวินไม่สงบนัก
ดินแดนรกร้างโบราณ!
เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกปราณที่กว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองอย่างไรกันแน่
‘จะต้องรีบยกระดับความสามารถแล้ว…’
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงสูดหายใจลึก ในดวงตาดำลึกล้ำกลับสู่ความราบเรียบ จิตใจก็พลอยสงบนิ่ง ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ตามไปด้วย
บุคคลเฉกเช่นพวกเซียวหรันแม้จะสะดุดตา แต่หลินสวินจะไม่มีทางได้รับผลกระทบเพราะเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้ปัจจุบันยังไม่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ เขาก็ไม่กลัวพวกเซียวหรันเลยแม้แต่คนเดียว!
นี่คือความเชื่ออย่างแน่วแน่อย่างหนึ่ง เป็นการยึดมั่นในมรรควิถีของตน หากไม่มีจิตใจที่มั่นคงในการก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ต่อไปก็ยากจะประสบความสำเร็จในด้านการฝึกปราณ
ฮูว~
ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเนิบช้าและยาวขึ้น เริ่มสงบจิตใจทำสมาธิ รับรู้และสัมผัสกับของสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งที่หยั่งถึงมาก่อนหน้านี้
ในจิตวิญญาณของเขา ท่วงทำนองแห่งวารีที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นเกิดคลื่นกระเพื่อม นั่นคือท่วงทำนองแห่งมรรค เป็นแก่นแท้จริงอันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งในสัจวิถีธาตุน้ำ
ตามความคิดก่อนหน้านี้ของหลินสวิน เขาต้องการควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วจึงเริ่มดำเนินการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ!
ระดับหยั่งสัจจะ!
ระดับใหญ่ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ครั้งใหญ่ เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ จะสามารถหยั่งรู้และควบคุมมหามรรคแห่งฟ้าดิน เปิดถ้ำผสานแห่งหนึ่งในร่างกายของตน
สิ่งใดคือถ้ำผสาน
คือความพร่ามัวเลือนรางเหมือนอยู่ในถ้ำสถิตแห่งความว่างเปล่า และเป็นเหมือนต้นแบบมหามรรคแห่งตน ขอเพียงหลอมกลั่นสำเร็จ พลังแห่งสัจจะมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณควบคุมได้ รวมทั้งการหยั่งถึงและวิถียุทธ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตจะถูกประทับเอาไว้บนนั้น!
เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็จะกลายเป็นถ้ำสวรรค์หยั่งสัจจะ!
ความว่างเปล่าของถ้ำผสาน ควบคุมต้นแบบมหามรรค ประหนึ่งเป็นการเปิดร่องรอยของโลกใบใหญ่ภายในร่างกาย นี่ก็คือระดับหยั่งสัจจะ!
ถึงตอนนั้น ภายในถ้ำสวรรค์ประทับสัจจะมหามรรค แก่นวิชาที่หยั่งถึง วิถียุทธ์ รวบรวมต้นกำเนิดทั้งร่างของผู้ฝึกปราณ ยิ่งถ้ำสวรรค์แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็หมายความว่าอานุภาพที่ผู้ฝึกปราณสามารถสำแดงออกมาได้ยิ่งน่าสะพรึงกลัว
มีเพียงผู้ที่บรรลุสู่ระดับนี้เท่านั้น จึงจะถูกเรียกว่า ‘มหายุทธ์’
คำว่า ‘มหา’ เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นและแข็งแกร่ง!
เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและตรงไปตรงมาที่สุด คืออายุขัยจะยืนยาวถึงหกร้อยปี…
ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วหลินสวินก็สามารถบรรลุสู่ระดับนี้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเขาควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำได้เสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ตนที่อยู่ในระดับมหาสมุทรได้เกิดสภาพที่เรียกว่า ‘มหามรรคบกพร่อง’ จึงเลือกที่จะอยู่ในระดับนี้ต่อ
โดยสรุปก็คือ หลินสวินต้องการให้พลังปราณ จิตวิญญาณ กายหยาบ รวมทั้งพลังสัจจะมหามรรคไปถึงระดับสมบูรณ์อย่างที่สุดก่อน ถึงค่อยเริ่มยกระดับรอบด้านในระดับหยั่งสัจจะ!
……
ครึ่งวันหลังจากนั้น
ยานสำเภาแล่นผ่านอากาศ ในที่สุดก็มาถึงชายแดนฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิ เมื่อมองไปรอบๆ ทะเลที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นในสายตา
ทะเลนั้นกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า กว้างขวางโอ่อ่าอย่างที่สุด แต่ที่น่าประหลาดคือน้ำทะเลเป็นสีดำลึกและไม่สงบ คลื่นน้ำซัดสาดคำรามรุนแรงน่าขนพองสยองเกล้า เสียงนั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง สะเทือนฟ้าดิน
นี่ก็คือทะเลกลืนวิญญาณ!
ไม่เพียงแค่ในจักรวรรดิจื่อเย่าเท่านั้น แม้แต่ในจักรวรรดิมืด ท้องทะเลอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวนี้ก็เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดัง
เหตุผลเพราะว่าทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป มีภัยพิบัติและไอสังหารที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุดกระจายอยู่ในนั้น มีหลุมอากาศว่างเปล่าที่สร้างความปั่นป่วนขวางกั้นอยู่ระหว่างท้องฟ้าและทะเล มีสายฟ้ารุนแรงที่สามารถทำลายล้างโลกได้ มีภูเขาไฟอันน่าสะพรึงกลัวที่ปะทุจากก้นทะเล มีคลื่นยักษ์ พายุน้ำวน…
นอกจากนี้ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณยังมีสัตว์ทะเล อสูรมารทะเล วิญญาณผู้ล่วงลับ จิตวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง… ถึงขั้นที่ไม่ขาดแคลนสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่แปลกประหลาดหายาก!
เป็นเวลาหลายพันปีที่ทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้เป็นดั่งสถานที่ต้องห้าม ทำให้สีหน้าของผู้คนต้องเปลี่ยนไปทุกครั้งที่พูด แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังไม่กล้าเข้ามาง่ายๆ
มีคำเล่าลือว่าทะเลกลืนวิญญาณนี้มีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว และเคยเกิดสงครามระหว่างเทพมาร เป็นที่ฝังศพของวิญญาณวีรชนนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้ยังมีคำเล่าลือที่เกินจริงยิ่งกว่า นั่นคือทะเลกลืนวิญญาณอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดและลึกลับนี้ ความจริงเกิดจากน้ำตาเพียงหยดเดียวของเซียนเท่านั้น…
แต่ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงได้
โชคดีที่ในทุกๆ ปีทะเลกลืนวิญญาณจะมี ‘ช่วงจำศีล’ สามเดือนติดต่อกัน ระหว่างนั้นเหล่านักผจญภัยที่มาจากจักรวรรดิจะเข้ามาแสวงหาวาสนาในทะเลกลืนวิญญาณ
แม้ว่าท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้จะน่ากลัวมาก แต่ถ้าไม่เข้าไปในส่วนลึกก็จะปลอดภัย อีกทั้งภายในแม้จะมีอันตรายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็มีสมบัติจากธรรมชาติที่หายากมากผืนแผ่นดิน อย่างเช่นปะการังเพลิงวิญญาณ ไขกระดูกหยกวิญญาณทะเลและอื่นๆ
ทว่าในฤดูกาลนี้ยังคงอยู่ใน ‘ช่วงแปรปรวน’ ของทะเลกลืนวิญญาณ ดังนั้นเมื่อยานสำเภาของพวกหลินสวินมาถึง บริเวณชายฝั่งจึงเงียบเชียบ แทบไม่มีใครเลย
“นี่คือทะเลกลืนวิญญาณหรือ ตามบันทึกโบราณ ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งมหันตภัย ภายในเต็มไปด้วยไอสังหาร ลึกลับอย่างยิ่ง”
บนดาดฟ้าของยานสำเภาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงยืนมองทะเลกลืนวิญญาณที่อยู่ในระยะไกล สีหน้าต่างแฝงความตะลึง
ในสายตาของพวกเขา เหนือทะเลกลืนวิญญาณนี้ อากาศแปรปรวน สายฟ้าผ่าทั่ว ลมพายุคำราม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ใช้คำว่า ‘มหันตภัย’ มาเปรียบเทียบยังไม่เพียงพอ!
หลินสวินเองก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เขาเคยถูกกระแสน้ำวนหนึ่งม้วนเข้าไปในโบราณสถานบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณโดยบังเอิญ ในนั้นหลินสวินได้พบกับตะพาบเขียวที่ถูกกักขังไว้ภายในมานานหลายพันปี
ทว่าเมื่อมาเยือนทะเลกลืนวิญญาณหนนี้ หลินสวินจึงพบว่าทะเลอันกว้างใหญ่นี้น่ากลัวกว่าที่เขาคิดอยู่มาก!
ทันใดนั้นหัวใจของหลินสวินพลันสั่นไหว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ที่บรรดาคนในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต้องการเสาะหา คือ ‘โบราณสถานบรรพกาล’ ที่ตะพาบเขียวถูกขังอยู่?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว สีหน้าของหลินสวินก็แปลกประหลาดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ เขาจำได้แม่นว่าตะพาบเขียวถูกขังอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานแห่งนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นตะพาบเขียวพูดเองว่าโบราณสถานนั่นน่าจะมีหลายชั้น แต่แค่ผนึกต้องห้ามของชั้นที่สองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถสั่นสะเทือนได้ ถ้าเข้าไปก็มีแต่ตาย!
ตอนที่หลินสวินจากมายังคิดอยู่ว่า ในอนาคตถ้ามีโอกาส จะต้องกลับมาสำรวจในโบราณสถานบรรพกาลแห่งนั้นอีกครั้ง
แต่ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสองปี เขาก็ได้กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มาในฐานะผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียน
“สถานที่แห่งมหันตภัยระดับทะเลกลืนวิญญาณนี้ หายากมากในดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่างนี้ไม่ได้ธรรมดาแบบที่เล่าลือกันดังคาด…”
ทันใดนั้นเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายชราหนวดเคราขาวดั่งหิมะ มีสง่าราศีเดินออกมาจากท้องเรือ
พวกเซียวหรันคารวะโดยพลัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
และบรรดาผู้ติดตามยิ่งดูระมัดระวัง ประสานมือยืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าชายชราคนนี้คือผู้เฒ่าเกาหยางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูงสุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์