แต่ความเงียบที่เร้นลับแบบนี้ กลับทำให้ทุกคนบนยานสำเภาอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายอย่างหนึ่ง
ยานสำเภาเปล่งประกาย เจิดจรัสสะดุดตา ลวดลายอันลึกลับไหลเวียน เกิดพลังล่องหนปกคลุมยานสำเภาเอาไว้
บนผิวทะเลไม่รู้ว่าเกิดหมอกอันมืดสลัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นแรกๆ ก็ไม่ได้สะดุดตา แต่พอยานสำเภาเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ หมอกนั่นก็มากขึ้นเรื่อยๆ พร่ามัวราวกับภาพมายา มืดสลัวชวนให้ขนลุก
ไม่นานยานสำเภาก็ค่อยๆ หยุดลง ในขณะเดียวกันบนผิวน้ำสีดำในหมอกมัวกลับมีแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่งปรากฏขึ้น!
แท่นบูชามีขนาดเท่าเนินเขาเล็กๆ สร้างด้วยหินหายากชนิดต่างๆ ทั้งเก่าแก่และรกร้าง ราวกับมีมาตั้งแต่บรรพกาล มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาหนาแน่น
เมื่อมองไปที่แท่นบูชานั้น สายตาของทุกคนบนยานสำเภาต่างเปลี่ยนไป ราวกับดาวเหนือเคลื่อนที่ สรรพสิ่งล้วนกำลังผันเปลี่ยน ทำให้จิตวิญญาณของคนแทบจะจมอยู่ในนั้น!
“เฮอะ!”
ทันใดนั้นเสียงของผู้เฒ่าเกาหยางพลันดังขึ้นข้างหู ปลุกเหล่าลูกศิษย์ในยานสำเภาให้ตื่นจากภวังค์ ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูและเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
แท่นบูชาโบราณที่แปลกประหลาดและเก่าแก่นี้ แค่มองก็แทบจะทำให้จิตวิญญาณหลงใหลอยู่ในนั้น น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว
แม้แต่หลินสวินก็ยังประหลาดใจ พลังจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งยังฝึกเคล็ดเวทบริกรรมมาด้วย แต่ยามนี้เขาเองก็ได้รับผลกระทบจากพลังของแท่นบูชาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“นี่คือแท่นบูชาเคลื่อนย้ายบรรพกาล สามารถข้ามเวลาทะลวงอากาศ เคลื่อนที่อยู่ในเก้าชั้นฟ้าสิบทศภูมิ เคลื่อนย้ายผู้คนไปยังทุกที่ที่ต้องการ”
ผู้เฒ่าเกาหยางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ต่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายในปัจจุบัน แท่นบูชาบรรพกาลระดับนี้ ถึงขั้นสามารถเปิดกำแพงโลก ทะลุสู่นอกวงโคจรดารา เข้าถึงได้ทุกแห่งทุกหน!”
ทุกคนสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ยิ่งตะลึงกับวิถีปราณในสมัยบรรพกาล เรียกได้ว่าฝีมือดุจดั่งธรรมชาติ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“มีเพียงอริยะบุคคลบรรพกาลผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถวางแท่นบูชาระดับนี้ได้ และโดยทั่วไปแท่นบูชาระดับนี้จะใช้เพื่อบูชาอริยะ ผู้ที่ฐานะด้อยกว่าอริยะไม่สามารถกระตุ้นพลังในแท่นบูชาได้”
แววตาของผู้เฒ่าเกาหยางเองก็ปรากฏแสงประหลาด ราวกับกำลังหวนคิดถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์สมัยบรรพกาล
“ท่านผู้เฒ่า สิ่งนี้เป็นถึงสมบัติอริยะแห่งบรรพกาลเชียวนะ เราไม่เอาไปด้วยหรือ”
ทันใดนั้นเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียงพลันพูดขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความละโมบ ถูมืออย่างตื่นเต้นอยากลอง
คนอื่นๆ ก็หวั่นไหวเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณนี้ จะมีแท่นบูชาเคลื่อนย้ายที่อริยะบรรพกาลจัดวางเอาไว้
หากเอากลับไปได้ แม้ไม่สามารถใช้งานได้ แต่ก็สามารถสำรวจและหยั่งรู้ถึงกลิ่นอายอริยะที่หลงเหลืออยู่!
“มันเสียหายไปแล้ว ถูกทำลายไปจนแทบไม่เหลือชิ้นดี หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนทะเลแห่งนี้ อย่าว่าข้า แม้ราชันระดับสังสารวัฏมาเยือนก็เอามันไปไม่ได้”
คำพูดของผู้เฒ่าเกาหยางทำลายความคิดในใจของเหล่าลูกศิษย์
“งั้นเราเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ได้หรือไม่”
เหวินเสียงพูดอย่างไม่จำยอม
“ไม่ได้!”
ผู้เฒ่าเกาหยางปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “ระดับต่างกันมากเกินไป หากไปสำรวจโดยพลการ เพียงแค่กลิ่นอายอริยมรรคที่หลงเหลืออยู่ภายใน ก็สามารถทำลายจิตวิญญาณของพวกเจ้าให้แหลกเป็นฝุ่นผงได้!”
คราวนี้เหวินเสียงตัดใจอย่างสิ้นเชิง
จิตใจของหลินสวินยากจะสงบลงได้ แท่นบูชาโบราณนี้มีมาตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่กลับสามารถทำลายจิตวิญญาณของพวกเขาให้แหลกละเอียดอย่างง่ายดาย พลังอริยมรรคนี้จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
“การปรากฏของแท่นบูชา บ่งบอกว่าเส้นทางของเราถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเราต้องเตรียมพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา!”
ผู้เฒ่าเกาหยางเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นับตั้งแต่ตอนนี้ ระหว่างทางจะมีภัยร้ายมากมายและเปี่ยมไปด้วยอันตราย ต้องระมัดระวังอย่างมาก มิเช่นนั้นจะเสี่ยงดับสูญ
ทุกคนต่างเคร่งเครียดจริงจัง
นี่ยังไม่ถึง ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ด้วยซ้ำก็อันตรายแล้ว ทำให้พวกเขายิ่งตระหนักได้ถึงความเร้นลับและน่าสะพรึงกลัวของทะเลกลืนวิญญาณ
จากนั้นผู้เฒ่าเกาหยางพลันหยิบหยกมงคลจำนวนหนึ่งออกมาแจกให้พวกเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียง กงหยางอวี่
หยกมงคลนี้เป็นสีทองอร่ามราวกับหล่อด้วยสำริด รูปร่างเหมือนจักจั่นทอง กลิ่นอายคลุมเครือลึกลับ มีชื่อเรียกว่า ‘ยันต์จักจั่นทอง’ สื่อนัยถึง ‘จักจั่นทองลอกคราบ’ เมื่อพบอันตรายถึงชีวิตก็สามารถตายแทนผู้ฝึกปราณได้ มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อมียันต์นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับชีวิตที่สอง มีมูลค่าอย่างมาก และมีเพียงสำนักโบราณระดับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเท่านั้นที่มีสมบัติวิเศษเช่นนี้
หลินสวินมองแล้วให้จนใจอยู่บ้าง เขาในฐานะผู้ติดตาม…ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครอง
จ้าวจิ่งเซวียนเดินขึ้นหน้าไปคุยกับผู้เฒ่าเกาหยาง หมายจะขอยันต์จักจั่นทองให้หลินสวิน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
“เหอะ ศิษย์น้องจ้าวช่างให้ความสำคัญกับผู้ติดตามโลกชั้นล่างคนนี้เหลือเกิน” ซูซิงเฟิงเย้ยหยันด้วยเสียงเสียดหู สายตาเย็นชา
จ้าวจิ่งเซวียนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินสวินทำเหมือนไม่ได้ยิน เงียบไม่พูดจา รักษาหน้าที่ของตนได้ดีมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ ในหูเขาได้ยินเสียงสื่อจิตของซูซิงเฟิง ‘ไอ้คนไร้ค่า ระหว่างทางเจ้าระวังไว้เถอะ ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่แม้แต่ศิษย์น้องจ้าวก็ช่วยเจ้าไม่ได้’
นี่เป็นการข่มขู่และมุ่งเป้าอย่างไม่ปกปิด
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ไอสังหารพลันแวบผ่านเข้ามาในใจก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าซูซิงเฟิงคนนี้ยังคิดแก้แค้นให้กับผู้ติดตามของเขา ไม่คิดจะปล่อยตนไป
ยานสำเภาเดินหน้าต่อ เพียงแต่ความเร็วนั้นชะลอลงมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมาถึงที่นี่ บรรยากาศก็แปลกประหลาดและเงียบสงัด
แม้ไม่มีภัยธรรมชาติอย่างสายฟ้าคึกคะนองและอากาศปั่นป่วน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งอันตราย
ผิวทะเลเงียบสนิท แผ่กระจายหมอกอันมืดครึ้ม แปลกประหลาดคาดเดาไม่ถูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์