มีชีวิตรอดกลับมาจากส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาต นี่เป็นเรื่องที่ขนาดพวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ กระนั้นตอนนี้ หลินสวินผู้ติดตามจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งกลับทำได้!
นี่ช่างดูผิดธรรมดาเกินไปแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งสายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินอดเจือความประหลาดใจไม่ได้ ทุกคนต่างครุ่นคิด
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในยุคนี้ ถือเป็นผู้กล้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ ย่อมไม่ขาดสติปัญญาและวิจารณญาณ พอจะใคร่ครวญได้เลาๆ ว่าผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนคนนี้ น่ากลัวจะไม่เรียบง่ายอย่างภายนอก
ทันทีที่หลินสวินกลับมาก็รับรู้ได้อย่างฉับไวถึงบรรยากาศแปลกๆ นี้ ราวกับทุกคนล้วนคาดไม่ถึงอยู่บ้างที่ตนปรากฏตัว
ทันใดนั้นหลินสวินก็ซวนเซ เกือบตกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ จ้าวจิ่งเซวียนรีบเข้าไปประคองไว้แล้วพาเขาขึ้นยานสำเภา
“หลินเสวียน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนถามอย่างใส่ใจ
“ไม่…ไม่เป็นไร…” หน้าหลินสวินซีดเผือดไร้สี เหมือนจะต้องการพิสูจน์ว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาฝืนหยัดกายขึ้น แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พลันกระอักเลือดสีแดงสดออกมา สีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง
“เจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก!” จ้าวจิ่งเซวียนตำหนิ
“ไม่เป็นไรจริงๆ” หลินสวินฉีกยิ้ม เพียงแต่เพิ่งพูดจบ เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ใบหน้าสุภาพหล่อเหลายิ่งซีดขาวลงไปอีก
“อย่าอวดเก่งเลย กลืนลูกกลอนโอสถนี้ลงไป” จ้าวจิ่งเซวียนนำลูกกลอนวิญญาณสีเขียวหยกเหมือนเนตรมังกรเม็ดหนึ่งออกมา แล้วส่งให้หลินสวิน
“ขอบคุณมากขอรับคุณหนู” หลินสวินกุมมือคารวะอย่างซาบซึ้ง
“ไม่คิดว่าผู้ติดตามศิษย์น้องจ้าวคนนี้จะดวงแข็งนัก ยังสามารถฝ่าวงล้อมของกองทัพวิญญาณอาฆาตกลับมาได้ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ” ซูซิงเฟิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงฉายแววถากถางคลุมเครือ
จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว ในใจขุ่นเคือง ซูซิงเฟิงคนนี้ไม่ได้พุ่งเป้าหลินสวินแค่ครั้งสองครั้งแล้ว นี่ทำให้นางเริ่มทนไม่ไหว
เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นว่าเซียวหรันยิ้มละมุนกล่าวว่า “บางครั้งโชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ เอาล่ะ คนกลับมาได้ก็เป็นเรื่องดี อย่าพูดอะไรอีกเลย”
เมื่อเขาเอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเซวียนหรือซูซิงเฟิงก็ล้วนเงียบกริบไม่ส่งเสียง
เห็นได้ชัดว่าสถานะของเซียวหรันพิเศษนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่เคารพ
เมื่อละครคั่นเล็กๆ ฉากนี้ผ่านไป ก็ไม่มีใครสนใจหลินสวินอีก ทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก เขาไม่ได้อยากถูกจำได้เพราะความสามารถเตะตาเกินไป
‘หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องหน่อยไหม’ จ้าวจิ่งเซวียนสื่อจิตเสียงเบา
‘ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อกี้เพียงตั้งใจกระอักเลือดออกมาให้พวกเขาดูสักหน่อย’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นสายตาของจ้าวจิ่งเซวียนก็ฉายแววประหลาดขึ้นมา ชำเลืองมองหลินสวินเหมือนตำหนิ แล้วสื่อจิตว่า ‘พูดเช่นนี้ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลยหรือ’
หลินสวินฉีกยิ้มนัยว่ายอมรับ
‘เจ้านี่มันเลวนัก หลอกให้ข้าเป็นห่วงเก้อ’ ดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกาย ริมฝีปากเปล่งปลั่งยกขึ้นเล็กน้อย
‘เฮ้อ ข้าก็ไม่มีทางเลือกนะ ข้าถูกซูซิงเฟิงเพ่งเล็งแล้ว หากถูกผู้อื่นจับจ้องเพราะความสามารถเตะตาเกินไปอีก เช่นนั้นจะไม่ดีเอา นี่ข้า…ก็ถือว่าเข้าใจโลก รู้รักษาตัวได้กระมัง’
หลินสวินยักไหล่
จ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะ ทันใดนั้นก็พูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า ‘เจ้าทำได้ไม่เลวสาเหตุที่ข้าให้เจ้ารับหน้าที่ผู้ติดตามก็เพราะกังวลว่าเจ้าจะถูกจำได้ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หากถูกพวกเขารู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าเข้า ต้องเกิดเรื่องคาดไม่ถึงมากมายแน่’
ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งเคลื่อนตัวจากเวิ้งฟ้าไกล ลอยละล่องลงบนยานสำเภา เขามีท่วงท่าราวเซียน หนวดเคราเผ้าผมขาวราวหิมะ เป็นผู้เฒ่าเกาหยางนั่นเอง!
“ท่านผู้เฒ่า ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“ท่านผู้เฒ่า ได้ฆ่าราชันวิญญาณอาฆาตนั่นหรือไม่ขอรับ”
พวกเซียวหรันเอ่ยปากถามเซ็งแซ่ เกาหยางกลับมา ทำให้พวกเขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีหัวหน้าสั่งการแล้ว
“ครั้งนี้แม้ไม่ได้ฆ่าเจ้านั่นให้ตาย แต่ว่า ข้ากลับชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงส่วนหนึ่งในตัวมันได้สำเร็จ!”
เกาหยางเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม เขาในตอนนี้ดูสะบักสะบอมไปบ้าง บนเสื้อเปื้อนรอยเลือดไม่น้อย แต่สีหน้ากลับมีความยินดีและตื่นเต้นอย่างยากบดบัง
ทุกคนสะท้านใจยิ่ง อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมา เศษเสี้ยวเจตจำนงของราชันตนหนึ่ง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าเหนือสิ่งใด ในนั้นบรรจุการหยั่งรู้และประสบการณ์ฝึกปราณของราชันผู้หนึ่งอยู่ หากหลอมมันได้ ย่อมมีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประมาณค่าได้ต่อการฝึกปราณของตน!
มิน่าเล่าผู้เฒ่าเกาหยางถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้…
ทุกคนเคลิบเคลิ้มนัก อดอิจฉาไม่ได้
“เจ้าคนที่ประลองกับข้านั่น เป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง ตอนนี้มีพลังของราชันระดับสังสารวัฏแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็คาดเดาได้เลยว่า ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลคนนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งข้ายังสงสัยเลยว่าเขาเป็นอริยะผู้หนึ่ง”
ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจ ทำให้ทุกคนสะท้านอีกครั้ง เสี้ยวความคิดหนึ่ง ผ่านการเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุดแต่ไม่สลายไป ตอนนี้ถึงขั้นก้าวไปอยู่ในระดับสังสารวัฏแล้ว นี่…จะน่าหวาดหวั่นปานไหน
เงาร่างราชันวิญญาณอาฆาตตนนั้นปรากฏขึ้นในสมองหลินสวินอย่างอดไม่อยู่ ยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน บนหัวสวมเกี้ยวประดับที่เหมือนหลอมจากทองเซียน มือถือกระบี่กระดูกขาว ก้มมองใต้หล้า พลานุภาพสะท้านสะเทือน!
แต่ตัวตนเช่นนี้ กลับเป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งสมัยบรรพกาลผู้หนึ่ง นี่ช่างเกินคาดคิดนัก
ทว่าที่ทำให้หลินสวินตกใจที่สุดก็คือ ผู้เฒ่าเกาหยางที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์สุดยอดผู้หนึ่ง ในการต่อสู้กับราชันวิญญาณอาฆาตตนนี้ไม่เพียงไม่พ่ายแพ้ กลับยังช่วงชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงสายหนึ่งจากอีกฝ่ายมาได้ นี่ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!
หลินสวินไตร่ตรองโดยละเอียด ฉับพลันนึกถึงเตาเทพหมื่นปักษาที่ผู้เฒ่าเกาหยางนำออกมา พอจะชี้ชัดได้ว่า ที่ผู้เฒ่าเกาหยางทำได้เช่นนี้ น่ากลัวจะเกี่ยวข้องกับสมบัติชิ้นนี้
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงสมบัติสำคัญพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธเทพ!
หาไม่แล้วด้วยพลังปราณของผู้เฒ่าเกาหยาง คิดจะโจมตีข้ามระดับให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งล่าถอย แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์