สองสามครั้งที่รุนแรงที่สุด เขาถูกอวี่เซียวเซิงกับหลินหลางร่วมมือกันสู้ประกบ แม้ในที่สุดจะหนีออกมาได้ แต่กลับทำให้อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงยิ่งขึ้น
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปผู้แข็งแกร่งที่ออกมาตามฆ่าเขาก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้หลินสวินไม่มีเวลาหยุดพักฟื้นตัวเลย
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปสิบกว่าวัน ร่างกายหลินสวินทรุดโทรม คราบเลือดเปรอะเปื้อน ราวกับจะล้มลงไปเมื่อใดก็ได้ ขนาดโสมราชันโคมสมบัติก็ถูกเขากินจนหมด!
นี่เป็นถึงโอสถสมบัติไร้เทียมทาน สมบัติล้ำค่าที่ขนาดราชันสังสารวัฏยังหมายปอง แต่ตอนนี้กลับถูกกินจนหมดระหว่างที่หนีตายอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงคิดก็รู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดระหว่างทางนี้จะอันตรายปานไหน
โสมราชันโคมสมบัติหมดแล้ว ยังมีหญ้ากิเลนอีกต้นหนึ่ง ที่ทำให้หลินสวินงุนงงก็คือ แผลภายนอกสามารถรักษาได้ แต่อาการบาดเจ็บของแท่นมรรคหยั่งสัจจะกลับยิ่งตกอยู่ในอันตราย
โซ่เคราะห์สวรรค์เส้นนั้นแปลกประหลาดน่ากลัวเกินไป เต็มไปด้วนพลังกฎระเบียบสูงสุด ไม่ว่าหลินสวินจะสลายอย่างไรก็จนปัญญา กลับถูกโซ่กัดกร่อนและทำลายแท่นมรรคหยั่งสัจจะ สั่นคลอนรากฐานมหามรรค!
วันนี้หลังจากหนีการตามฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า หลินสวินก็เข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ในเทือกเขา รักษาบาดแผลเงียบๆ เวลามีจำกัด เขาไม่อาจหย่อนยานได้
หลายวันมานี้เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดว่า ยามตนข้ามด่านเคราะห์ระดับหยั่งสัจจะ เหตุใดถึงดึงดูดเภทภัยที่ลี้ลับเช่นนี้ ทว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก นี่ทำให้เกิดเงาอึมครึมปกคลุมจิตใจของเขา
‘นี่คือแผลมรรค!’
เมื่อหลินสวินลองไปถามจินตู๋อี กลับได้คำตอนที่หนักอึ้งหาใดเทียบอย่างคาดไม่ถึง
‘นี่เจ้าถูกสรรค์ขัดตาทัพนะเนี่ย ข้าจำได้ว่าในยุคบรรพกาล มีแต่บุคคลฝืนฟ้าละเมิดข้อห้าม ถึงจะดึงดูดเคราะห์น่ากลัวเช่นนี้ได้!’
เห็นได้ชัดว่าจินตู๋อีก็ไหวหวั่นยิ่งนัก เอ่ยว่า ‘คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้ เจ้าฝึกวิชาอะไรกันแน่’
แผลมรรคหรือ
หลินสวินสีหน้าแข็งทื่อ เขานึกออกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน หรือเคล็ดเวทบริกรรม เพลงดาบวัฏจักรฟ้า เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ที่ตนช่ำชอง ล้วนได้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น
กระทั่ง ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ ที่ก่อตัวขึ้นใหม่ในร่างก็เกี่ยวข้องกับห้องโถงมรรคาสวรรค์อย่างใกล้ชิด
เมื่อประเมินเช่นนี้แล้ว ที่การข้ามด่านเคราะห์ครั้งนี้แปลกประหลาด ทำให้ตนได้รับบาดแผลแห่งมหามรรคเช่นนี้ จะเกี่ยวกับห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่
หลินสวินไม่มีทางแน่ใจได้
‘สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว แผลมรรคเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทำร้ายรากฐานมหามรรค แต่แผลมรรคที่เจ้าได้รับพิเศษยิ่งกว่า เป็นพลังแห่งเคราะห์สวรรค์ แทบไม่มีหวังจะขจัดได้’
จินตู๋อีไม่ได้พูดเล่น สถานการณ์ของหลินสวินในเวลานี้ร้ายแรงถึงที่สุด ทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาล้อเล่น
‘ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้ไร้เทียมทานสะท้านฟ้ามากมายเท่าไรที่เพราะได้รับแผลมรรค จึงล้มจนลุกไม่ได้อีก ไม่ได้รับความสนใจจากฝูงชนอีก สุดท้ายก็หยุดก้าวต่อ ตายไปอย่างคับแค้นใจ’
‘ไม่มีทางขจัดได้หรือ…’
หลินสวินสีหน้ายิ่งเหม่อลอย ครู่ใหญ่เขาถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วไม่คิดมากอีก ยังไม่ถึงนาทีสุดท้าย เขาย่อมไม่ยอมแพ้
ผ่านมาอีกหลายวัน หลินสวินยังคงหนีตายดังเดิม ถูกตามสังหารไม่ว่างเว้น อาการบาดเจ็บตามร่างกายรุนแรงถึงขั้นไม่อาจบาดเจ็บไปกว่านี้ได้อีก ตลอดทางกระอักเลือดบ่อยครั้ง
นั่นเป็นเพราะแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขาถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เริ่มหม่นแสงลง นี่เป็นถึงรากฐานมหามรรคของเขา ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าผลลัพธ์จะย่ำแย่ปานใด
“ไอ้สวรรค์เฮงซวย…” หลินสวินถอนใจ
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่เชื่อว่าตนจะตายระหว่างถูกตามฆ่า ยังคงใคร่ครวญไตร่ตรองว่าจะขจัดแผลมรรคภายในกายได้อย่างไร
“เจ้าไปเถอะ”
วันนี้หลังจากผ่านการต่อสู้ที่เลวร้ายมา อาการบาดเจ็บของหลินสวินก็ยิ่งทรุดลง ร่างกายทรุดโทรม ราวกับว่าหากมีลมระลอกหนึ่งพัดมาก็สามารถทำให้เขาตายได้
เขาตัดสินใจปล่อยจินตู๋อีไป
“ข้าน่าจะทนไปได้สักระยะ แต่หากพบเรื่องไม่คาดฝันต้องทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยแน่ ดังนั้นตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
หลินสวินเตือนอย่างจริงจัง
จินตู๋อียืนอยู่ด้านหนึ่ง มองเด็กหนุ่มที่เลือดไหลไปทั้งร่างตรงหน้านั้น เหมือนจะคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ใบหน้าที่งดงามมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจปรากฏอารมณ์ซับซ้อนสายหนึ่ง
สุดท้ายเขาก็ทำเพียงร้องอ้อ โบกมือแล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้ายังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง รอเจ้าตายแล้วข้าจะตั้งสุสานจัดงานศพให้เจ้า”
เขาพูดพลางหันหน้าจากไป ไม่นานก็หายตัวไป
หลินสวินมองเขาจากไป มุมปากซีดขาวไร้สีเลือดระบายยิ้มหยันเย้ยตนเอง จากนั้นส่ายหัวในทันใด ลุกขึ้นหนีตายต่อ
หลายวันผ่านไป
ตูม!
การต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง เป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งอย่างบุตรเทพเผ่าวานรนทีกับธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ตามมา
หลินสวินทุ่มเททุกอย่างที่มี สู้อาบเลือด ถึงหนีพ้นได้อีกครั้ง
เพียงแต่หลังจากการหนีครั้งนี้ ในที่สุดก็ยืนหยัดไม่ไหวแล้ว ล้มลงในส่วนลึกของหนองแห่งหนึ่ง
ทั่วกายเขามีแต่แผลฉีกขาดน่าตกใจ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว ดวงตาดำหม่นหมองไร้แสง
“ไม่มีวิธีขจัดจริงๆ หรือ”
ในใจหลินสวินบังเกิดความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า เขาละซึ่งทุกสิ่งแล้ว จิตวิญญาณไม่หวาดหวั่น ไม่สนใจว่าศัตรูจะเข้ามาใกล้หรือไม่ ราวกับทั้งตัวไร้ซึ่งวิญญาณ
ร่างของเขายับเยิน พลังชีวิตแทบจะใช้จนหมดสิ้น ถ้ำสวรรค์ในกายอับแสง บนแท่นมรรคที่เดิมใสกระจ่างราวกระจกย้อมไปด้วยแสงเคราะห์หมองมัวน่ากลัว แทบจะแหลกสลาย
“ได้แต่ลองดูสักตั้งแล้ว! มีเหตุย่อมมีผล หมายจะขจัดเคราะห์นี้ ต้องไปเสาะหาที่แหล่งกำเนิด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์