นี่หมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน หรือพวกเซียวหรันต่างรู้สึกสับสนมึนงง
เพียงแต่เมื่อพวกเขาอยากฟังต่อ กลับเห็นเจ้าคางคกถอนสายตา หน้าตาดูงุนงง “คีรีดวงกมล ชื่อที่คุ้นเคยเช่นนี้ ทำไมข้ากลับดันนึกไม่ออกสักนิด…”
ทีนี้ทุกคนจึงรู้แล้วว่า ที่แท้ความหมายของตัวอักษรลึกลับกลุ่มนั้นบนแท่นบูชา ก็เป็นแค่เพียงชื่อไม่กี่คำนี้เท่านั้น
แต่ว่า นี่หมายความว่ายังไงกันแน่
ไม่มีใครล่วงรู้
‘เจ้าคางคก เจ้ามองอะไรออกงั้นรึ’
หลินสวินสื่อจิตถาม
‘นี่คือภาษาสันสกฤตลี้ลับชนิดหนึ่งในสมัยบรรพกาล เล่าขานว่าผู้บำเพ็ญธรรมประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ต่างจากภาษาสันสกฤตทั่วไป ภาษาสันสกฤตประเภทนี้เร้นลับถึงขีดสุด ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไปก็ล้วนไม่อาจเข้าใจ มีเพียงอัครบุคคลซึ่งมรรควิถีลึกซึ้งและครองผลที่แท้จริงเท่านั้น จึงสามารถหยั่งรู้และเขียนออกมาได้’
เวลานี้เจ้าคางคกได้สติระแวดระวังขึ้นมา ไม่หลุดปากออกมา แต่ใช้การสื่อจิต ‘อักษรธรรมประเภทนี้ยังถูกเรียกว่าอักษรปริศนามหายาน ต่อให้เป็นสมัยบรรพกาลก็มีการสืบทอดน้อยมาก’
‘มิน่าจึงเร้นลับเช่นนี้ ที่แท้นี่คืออักษรปริศนาลึกล้ำที่พุทธนิกายสรรสร้างอย่างหนึ่ง’
จ้าวจิ่งเซวียนตกตะลึงอยู่ในใจ
‘หากกล่าวเช่นนั้น หรือวาสนาในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมซึ่งครองผลท่านใดท่านหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล’
หลินสวินเองก็ประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง
การบำเพ็ญธรรม สำหรับเขาแล้วคือการดำรงอยู่ที่แปลกหน้ายิ่งอย่างหนึ่ง เมื่อครั้งอยู่ในนครต้องห้าม เขารู้แค่ว่าในสถานที่ที่ห่างจากจักรวรรดิจื่อเย่าไม่รู้กี่พันลี้ มีอาณาจักรวงจันทราแห่งหนึ่ง ในนั้นพระธรรมเฟื่องฟู ภิกษุมากมาย
ระยะแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้ามไม่นาน ก็เคยมีภิกษุหนุ่มนามว่าอีเนี่ยนรูปหนึ่งมุ่งหน้ามายังสำนักศึกษามฤคมรกตเพียงลำพัง ท้ารบกับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง ท้ายที่สุดผลกลับสูสีเสมอกัน
แม้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่การที่สามารถประมือกับดรุณจ้าวกระบี่แล้วไม่พ่ายแพ้ ยังคงทำให้ภิกษุหนุ่มอีเนี่ยนรูปนี้มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้องนครต้องห้าม
หลินสวินเคยได้ยินมาก่อนแต่กลับไม่เคยใส่ใจ ด้วยเหตุนี้สำหรับการบำเพ็ญธรรม เขาจึงแทบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
และการมายังทะเลกลืนวิญญาณครานี้ หลังจากเข้าสู่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ขณะกำลังเข่นฆ่าโรมรันในกองทัพวิญญาณอาฆาต หลินสวินเคยพบกับภิกษุตาบอดรูปหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
นั่นคือภิกษุซึ่งอุดมไปด้วยสีสันแปลกประหลาดรูปหนึ่ง เบ้าตาว่างเปล่าไร้ลูกตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนกะโหลกสีดำ ห่มจีวรย้อมโลหิตหนึ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวกระดำกระด่าง เหนือศีรษะมีลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง!
นี่คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งที่หลินสวินพบเจอ เพียงแต่เหมือนจะแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวเกินไป
มาตอนนี้ ได้ยินว่าภาษาสันสกฤตเก่าแก่บนแท่นบูชานั้น ถึงกับเป็นอักษรปริศนามหายานชนิดหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรม แน่นอนว่าทำให้หลินสวินไหวหวั่นไม่หยุด ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย
‘ไม่แน่ใจ เพียงแค่อักษรปริศนามหายานที่ประหลาดอัศจรรย์ยากหยั่งถึงแถวหนึ่งเท่านั้น ไร้เบาะแสอย่างเป็นรูปธรรม แค่ว่าที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรม’
เจ้าคางคกเองก็เดาไม่ถูกอยู่บ้าง
‘เจ้าลองนึกดูอีกที สามารถหวนนึกเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับ ‘คีรีดวงกมล’ ได้หรือไม่’
หลินสวินอดไม่ได้ที่จะถาม
เจ้าคางคกส่ายศีรษะโดยสิ้นเชิง ‘นึกไม่ออก เจ้าก็อย่ายึดติดเลย ต่อให้รู้นั่นก็เป็นเรื่องราวสมัยบรรพกาล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าเลย’
‘ครองผลหมายถึงอะไร’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยถาม
‘ครองผลก็คืออริยะ นี่คือการหยั่งรู้มหามรรคแบบหนึ่งสำหรับการบำเพ็ญธรรม หรือก็คือระหว่างบำเพ็ญธรรม ขอเพียงสามารถครองผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องคลางแคลง นั่นคืออริยสงฆ์ผู้หนึ่งโดยมิต้องสงสัย’
เจ้าคางคกกล่าวอธิบายประโยคหนึ่ง
อริยสงฆ์?
คำเรียกนี้กลับพิเศษโดดเด่นอยู่บ้าง ทำให้หลินสวินอดนึกถึงขึ้นมาไม่ได้ ภิกษุตาบอดแปลกประหลาดที่ตนเคยพบรูปนั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นอริยสงฆ์ผู้หนึ่งหรือไม่?
“ศิษย์พี่จ้าว พวกท่านกำลังพูดอะไรกัน เหตุใดไม่กล่าวออกมาให้ทุกคนได้ใคร่ครวญด้วยกัน”
ทันใดนั้นเหวินเสียงที่อยู่ห่างออกไปก็ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก
หลินสวินหันกลับไปมอง สายตาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อเองก็จับจ้องมาทางนี้ตลอด
“เสือกอะไรด้วย”
เจ้าคางคกหน้าตาหงุดหงิด เขาไม่มีความรู้สึกดีกับพวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณนี่สักนิด จึงพูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เหวินเสียงสีหน้าค้างแข็ง โมโหขึ้นทันใด “คนอย่างเจ้าอยากมาร่วมชิงวาสนาพร้อมกับพวกเรา เอารัดเอาเปรียบแล้วยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ท่าทางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ หรือคิดอยากเป็นศัตรูกับพวกเรา”
เจ้าคางคกชี้เหวินเสียงอย่างหยามเหยียด หยิ่งยโสทะยานฟ้า “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเจ้าหุบปาก ผู้ใหญ่เขาคุยกัน มีส่วนไหนให้เจ้าสอดปากเข้ามาจุ้น”
“เจ้า…”
เหวินเสียงผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววสังหาร
“พอแล้ว อย่าได้ถกเถียงกันอีก”
เซียวหรันออกปาก น้ำเสียงยังคงราบเรียบและน่าเกรงขามดังเดิม
เห็นดังนี้จ้าวจิ่งเซวียนลังเลนิดหน่อย กลับเห็นหลินสวินดูเหมือนเดาความคิดในใจนางออก ชิงเอ่ยปากก่อน
เขายิ้มกล่าว “ก็ไม่มีอะไรต้องปกปิด อักษรโบราณเหล่านี้คือสิ่งที่อริยะผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งหลงเหลือไว้ เป็นภาษาสันสกฤตยากพบเห็นอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอักษรปริศนามหายาน”
บำเพ็ญธรรม!
อักษรปริศนามหายาน!
ทันทีที่ได้ยินคำพวกนี้ ในใจพวกเซียวหรันพลันสั่นสะท้าน
“ยังมีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่”
บนยอดเขา วายุเมฆาเปลี่ยนสี กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง แท่นบูชาเก่าแก่สี่สิบเก้าแท่นส่องสว่างเรืองรอง ตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายซ่อนเร้นยากหยั่งถึง
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่ยึดครองบริเวณต่างๆ อยู่ก่อนแล้วล้วนเคร่งเครียด ปากแห้งลิ้นฝืด นัยน์ตาฮึกเหิมและเฝ้าคอยสุดกำลัง
รอคอยมาหลายวัน วาสนายิ่งใหญ่ครานี้ในที่สุดก็จะอุบัติขึ้นบนโลก ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนใหญ่คนโตที่อยู่โลกภายนอกมาเยือน เกรงว่าคงยากจะสงบนิ่งอยู่ได้กระมัง
‘เจ้าหนู วาสนามาเยือนก็หมายความว่าเคราะห์สังหารที่แท้จริงจะเปิดฉากขึ้น ยังจำคำที่ข้าบอกก่อนหน้าได้หรือไม่ มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า ที่นี่แหละคือรูปแบบเก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น อย่าได้ถูกวาสนาบดบังดวงตาเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องประสบเคราะห์แน่!’
เวลานี้เจ้าคางคกถึงกับตึงเครียดขึ้นมาอย่างยากจะเห็น เตือนหลินสวินว่าต้องตื่นตัวและระวังภัย
หลินสวินแอบพยักหน้า การเปลี่ยนแปลงสะเทือนใต้หล้าที่เห็นกับตาเบื้องหน้านี้ นอกจากความตื่นเต้นในใจแล้ว ยังมีความระแวดระวังอยู่ด้วย
ไม่ต้องคิดให้มากความ ทันทีที่วาสนาปรากฏ ผู้แข็งแกร่งแต่เผ่า ณ ที่นี้จะต้องเฮโลขึ้นมา ทำการแก่งแย่งช่วงชิง นั่นต้องเป็นภาพนองเลือดเหี้ยมโหดอำมหิตหนึ่งอย่างแน่นอน
นี่ยังเป็นเพียงการประชันขันแข่งกันเท่านั้น เมื่อแย่งชิงวาสนาอย่างแท้จริง ใครเล่าจะสามารถแน่ใจว่า จะไม่พบเจอเคราะห์สังหารไร้เทียมทานที่ซ่อนอยู่ในนี้
ทันใดนั้นห้วงอากาศตรงศูนย์กลางยอดเขาพลันปรากฏแสงสว่างเล็กน้อย ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเจิดจ้าขึ้น จนกระทั่งตอนท้ายสุดถึงขั้นเหมือนดวงตะวันร้อนแรง ฉายแสงเจิดจรัสเสียดแทงนัยน์ตา สาดส่องทั่วขุนเขาธารา!
“นี่มันอะไรกัน”
ผู้แข็งแกร่งมากมายตกตะลึง ไม่กล้าเพ่งมองโดยตรง
“ไม่ต้องไปสนว่าคืออะไร แย่งมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
และมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่คิดจะรอคอยต่อไป ลงมือโดยตรง หมายคว้าโอกาสช่วงชิงเป็นคนแรก
นั่นคือผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนหนึ่ง กลายร่างเป็นหงส์ทองอร่ามตัวหนึ่ง สยายปีกบดบังนภากาศ ท่าร่างราวอสนี พริบตาก็พุ่งตรงออกไป
แต่ทว่าภาพที่พาให้คนประหวั่นพลันปรากฏ เขายังไม่ทันได้เข้าประชิด ร่างกายกลับถูกแสงสว่างไร้สิ้นสุดนั่นฝังกลบ และถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหายไปอย่างเงียบงัน ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่เสียงร้องทุรนทุรายล้วนไม่ทันได้เปล่งออกมา!
นี่เป็นถึงบุคคลชั้นยอดผู้หนึ่ง กลับตายไปอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ ยันต์กระดูกวิญญาณของเขาไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้!
เฮือก!
ณ ที่นั้นเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังเป็นระลอก ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นถังหนึ่ง ความตื่นเต้นและบ้าคลั่งในใจถอยถดลงไม่น้อย
พวกเขาตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่า นี่คือวาสนายิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นมหาเคราะห์สังหารเช่นเดียวกัน! ไม่อาจไม่ระมัดระวัง!
และในเวลานี้เอง แสงสว่างโชติช่วงกลางอากาศนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลง เกาะกลุ่มรวมตัวเป็นดอกบัวเสมือนภาพลวงตาดอกหนึ่ง
ดอกบัวไม่ใหญ่ ขนาดแค่ปากชาม ประหนึ่งหล่อหลอมจากกระจกสีอันบริสุทธิ์ที่สุดในโลกหล้า กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ไพศาลไหลบ่า ส่องประกายสว่างไสว
มันเบ่งบานอยู่กลางอากาศ ประดุจโคมดอกบัวดวงหนึ่ง แม้มีขนาดแค่ปากชาม กลับส่องสว่างผืนฟ้าผืนดิน สาดส่องขุนเขาธาราและสรรพสิ่ง!
แสงสว่างและความศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้ดำรงอยู่ทั่วทุกแห่ง!
………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์