หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเองก็รู้สึกเช่นนั้นยิ่ง
ก่อนหน้าที่ยังไม่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เดิมพวกเขาคิดว่าที่นี่ซ่อนมรดกของอสูรมารอริยะผู้หนึ่ง
แต่หลังผ่านการค้นหามาหลายวัน พวกเขาถึงพบว่าแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ น่าจะเป็นแดนเผยแพร่อริยชนหนึ่ง โดยราชันอริยมรรคผู้หนึ่งนำพาอริยะกลุ่มหนึ่งมาบุกเบิกด้วยกัน
จุดประสงค์เพื่อเก็บศุภโชคไว้ให้ทายาทรุ่นหลังของพวกเขา หวังว่าเมื่อทายาทเหล่านี้ถือเกิดกำเนิดขึ้น จะสามารถเหนือกว่าในอดีต สร้างตำนานบทใหม่บนหนทางแห่งมหามรรค
จนกระทั่งมาถึงภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้ หลังผ่านการสืบเสาะอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขายังพบว่าที่แห่งนี้ดูเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเมื่อครั้งบรรพกาล!
ที่ทำให้ผู้คนแปลกใจสงสัยที่สุดคือ บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นนี้ต่างหลงเหลืออักษรประหลาดยากคาดเดา เช่น ‘คีรีดวงกมล’ ‘ลวงหลอก’ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ พาให้คนงุนงง
“สถานที่นี้ลี้ลับและไม่อาจระบุเกินไปแล้ว สิ่งที่จินตนาการไว้ก่อนที่พวกเราจะมา มันธรรมดาเกินไป” จ้าวจิ่งเซวียนทอดถอนใจ
“แดนลับอสูรมารอริยะ… แดนเผยแพร่อริยชน… ภูเขาเทพหมอกม่วงซึ่งเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรม… ทุกอย่างในนี้เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ เต็มไปด้วยปริศนา” หลินสวินรู้สึกแบบเดียวกันอย่างสุดซึ้ง
“ข้าสามารถยืนยันได้ว่า แดนลับแห่งนี้ต้องเป็นแดนเผยแพร่อริยชนอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เจ้าคางคกใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนตัดสินชี้ขาด “สำหรับภูเขาเทพหมอกม่วงนี่ เป็นเพียงแดนเผยแพร่ที่อริยะผู้หนึ่งทิ้งไว้ และอริยะคนนี้แหละคืออัครสาวกผู้หนึ่งในสมัยบรรพกาล!”
“งั้นอสูรมารอริยะที่ว่าคือใครกันล่ะ” หลินสวินถาม
“บางทีอาจเป็นแค่คำพูดที่บิดเบือนต่อกันมา หรือบางทีอสูรมารอริยะผู้นี้เดิมทีก็คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง!” เจ้าคางคกทำการสันนิษฐาน
หลินสวินอึ้งงัน อสูรมารอริยะที่อยู่ในสายบำเพ็ญธรรม? คำอธิบายนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว ทั้งเมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็สมเหตุสมผล
“ไม่ถูก บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งนี้ อักษรปริศนามหายานที่เหลือไว้จะต้องไม่ได้มาจากลายมือของคนเพียงคนเดียวเป็นแน่” จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยปาก ชี้ไปยังจุดน่าสงสัยหนึ่ง
“ง่ายมาก พวกเจ้าน่าจะรู้ แดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ก้าวผ่านกาลเวลาเหลือคณานับอยู่นานแล้ว ในกาลเวลาอันเนิ่นนานต้องมีเหล่ายอดฝีมือมากมายเคยมาที่นี่เพื่อเสาะแสวงหามาก่อน”
ความคิดของเจ้าคางคกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชัดเจน ดวงตาสีทองเปล่งประกาย
“แต่หากกล่าวว่าก่อนหน้าเคยมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาที่นี่ เหตุใดพวกเขาถึงทิ้งคำพูดประหลาดพวกนี้บนแท่นบูชาล่ะ” จ้าวจิ่งเซวียนถาม
เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง กล่าวว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง จากที่พวกเราเห็น นี่คือภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งหนึ่ง เก็บซ่อนวาสนาแห่งยุคเอาไว้”
“แต่ในกาลก่อนเหล่าผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยมาที่นี่ บางทีอาจเห็นว่าภูเขานี้คือ ‘คีรีดวงกมล’ จึงพยายามเสาะหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ จากที่นี่!”
“ใช่!”
เจ้าคางคกกล่าวชมเชย “เหมือนกับที่ข้าคิด ภูเขาเทพหมอกม่วงที่เรียกนี้ แต่ก่อนอาจถูกอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นมองเป็น ‘คีรีดวงกมล’ นึกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ ซ่อนอยู่ภายใน แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลับไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นจึงคิดว่านี่แหละคือการลวงหลอก เชื่อว่าคีรีดวงกมลและปริศนาแห่งโพธิญาณไม่มีอยู่แต่แรก!”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนก็กระจ่างบางส่วน แต่เมื่อกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนกลับยังคงมีช่องโหว่ไม่น้อย
“งั้นเจ้าว่าที่นี่ใช่คีรีดวงกมลหรือไม่กันแน่ หรือเป็นดั่งอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาที่กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่การลวงหลอก?” จ้าวจิ่งเซวียนอดถามไม่ได้
“ข้อความบนแท่นบูชาล้วนเป็นอักษรปริศนามหายาน เป็นภาษาสันสกฤตซึ่งยากจะเห็นในสมัยบรรพกาล มีเพียงอริยะผู้บำเพ็ญธรรมจึงสามารถเข้าใจ นี่มิใช่หมายความว่า ในกาลเวลาอันเนิ่นนานนี้มีอริยะผู้บำเพ็ญธรรมมากมายเคยมาแสวงหายังภูเขานี้หรอกรึ”
หลินสวินเองก็เอ่ยปาก สายตามองไปยังเจ้าคางคก “หากเป็นเช่นนั้น วาสนาที่ซ่อนอยู่ในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ ใครเล่าจะกล้ายืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมครั้งบรรพกาลผู้ใดผู้หนึ่งจริง”
เจ้าคางคกอึ้งงันไปครู่หนึ่ง มองดูจ้าวจิ่งเซวียน และหันมองหลินสวิน คล้ายอับอายกลายเป็นโกรธอยู่บ้าง ด่าว่า “พวกเรามาเพื่อช่วงชิงวาสนา ไม่ได้มาสืบเสาะเรื่องไร้สาระที่หลงเหลือไว้ในสมัยบรรพกาลนะ คีรีดวงกมลอะไรกัน ไยต้องไปใส่ใจด้วย”
“ดูท่าเจ้าเองก็ไม่แน่ใจ” หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเคลือบแคลงสงสัย
เจ้าคางคกกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม้ข้าเป็นที่รู้จักในนามผู้รอบรู้สิ่งล้ำค่าทั้งปวง แต่ไม่เคยพูดว่ารอบรู้ในสรรพสิ่งเร้นลับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสักหน่อย!”
“ไปๆๆ อย่ามัวแต่โง่งมอยู่ที่นี่ เวลามีค่า ไปดูแท่นบูชาอื่นต่อ”
พูดพลางเจ้าคางคกก็วิ่งผลุบหายไปราวหมอกควัน เห็นชัดว่ากลัวทั้งคู่จะถามปัญหาบางอย่างที่เขาไม่อาจตอบได้อีก
เมื่อสำรวจแท่นบูชาแต่ละแท่นต่อ ก็ไม่เจอเบาะแสที่ควรค่าใดอีก
ขณะที่พวกเขากำลังผิดหวัง จู่ๆ ลูกตาเจ้าคางคกพลันเบิกกว้าง ขยับไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นทันที หน้าแทบจะติดอยู่บนแท่นบูชานั่น กล่าวอย่างดีอกดีใจ “บนนี้มีความลับที่แท้จริง แตกต่างจากแท่นบูชาอื่นโดยสิ้นเชิง!”
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนถูกดึงดูดเข้าไปทันที
“พันหมื่นแปรเปลี่ยน… ใจความคงเดิม… นั่นคือ… โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม!”
เจ้าคางคกอ่านทีละคำ มิใช่ว่าตื่นเต้นเกินไป แต่เพราะอักษรปริศนามหายานบนนั้นยากหยั่งถึงและซับซ้อนเกินไป พาให้เขาทำได้แค่รับรู้มันทีละตัวๆ
“พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม” หลินสวินท่องซ่ำอีกครั้ง กล่าวอย่างงุนงง “นี่หมายความว่าอะไร”
เขารู้สึกแค่ว่าหกคำสุดท้ายนั่นพูดยากชวนลิ้นพันเหลือเกิน มีท่วงทำนองแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เพียงหกคำเท่านั้นกลับประหนึ่งแฝงความนัยลึกลับเหลือคณานับอยู่ภายใน
วู้ม!
ขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ กลางท้องฟ้าละแวกใกล้เคียงพลันเกิดคลื่นผันผวนลึกลับ ปรากฏบานประตูซึ่งห้อมล้อมด้วยแสงมรรค!
อีกทั้งใจกลางดอกบัวที่อยู่ห่างไกลนั่นมีรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งทะยานออกมา ประดุจสะพานเชื่อมต่อบานประตูนี้
ภาพเหตุการณ์อันวิเศษมหัศจรรย์ทำให้หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างตระหนกอยู่ในใจ พวกเขาหาปริศนาและคำตอบบางอย่างจากแท่นบูชาได้จริงดังคาด!
“ต้องเป็นพลังซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดเมื่อครู่แน่ที่จุดชนวนสิ่งต้องห้ามบางอย่าง ทำให้ประตูนี้ปรากฏขึ้น!”
เจ้าคางคกจิตใจฮึกเหิม ยิ้มแย้มแจ่มใส “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า จำนวนของแท่นบูชานี่สอดคล้องกันพอดี และอีก ‘หนึ่ง’ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏนั่น ตอนนี้ก็ถูกพวกเราค้นพบแล้ว! บานประตูนี่แหละคือ ‘หนึ่งรอดพ้น’ นั่น!”
ยิ่งพูดเจ้าคางคกยิ่งตื่นเต้นดีใจ เกือบจะร่ายระบำอยู่แล้ว “ไม่ใช่บอกว่าศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนาหรอกรึ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราบังเอิญเจอวาสนาที่ซ่อนไว้เข้าให้แล้ว!”
“ไป ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกโรงอย่างสง่างาม คว้าเอาวาสนาครานี้มาให้หมดเลย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์