เงาตะเกียงระริกไหว ประดุจกาลเวลาไร้สิ้นสุดนิจนิรันดร์ สาดส่องหนทาง ไม่ดับสูญนิรันดร มีกลิ่นอายสงบเงียบอย่างหนึ่ง
“นี่ก็คือสถานที่แห่งวาสนาที่ดอกบัวนั่นวิวัฒน์ขึ้น?”
ทันทีที่มาถึง เจ้าคางคกอดประหลาดใจไม่ได้ เทียวสืบเสาะถึงขั้นหมายจะจับตะเกียงนิรันดร์ดวงหนึ่งออกมาตรวจสอบโดยละเอียด
เพียงแต่เหมือนหวาดกลัวและรอบคอบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้ทำจริงๆ แค่ใช้ดวงตาจับจ้องตะเกียงนิรันดร์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
เนิ่นนานจึงกล่าวอย่างผิดหวัง “ที่แท้แค่ตะเกียงเจ้าพายุธรรมดาทั่วไป มิน่าจึงสามารถลุกโหมตั้งแต่สมัยบรรพกาลถึงปัจจุบัน”
“ระวังหน่อย สถานที่นี้เงียบสงัดเกินไปอยู่บ้าง”
หลินสวินกวาดสายตามองโดยรอบ ภายในใจตึงเครียดชอบกลอยู่เสี้ยวหนึ่ง ราวกับส่วนลึกของทางระเบียงนั่นแอบซ่อนความอันตรายอะไรไว้
เขาถือดาบหักไว้ในมือ
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็เรียกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา แสงมงคลลอยล่อง ห่อหุ้มป้องกันทั่วสรรพางค์กาย
พวกเขามุ่งไปตามทางระเบียง
บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย ทางระเบียงลึก ตะเกียงนิรันดร์แต่ละดวงเอ่อส่องแสงสว่างนุ่มนวล แม้ไม่มืดมน แต่บรรยากาศราวป่าช้าเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่นงันงก
ไม่นานนักทางระเบียงซึ่งห่างออกไปปรากฏแสงพร่ามัวดุจไอหมอกแถบหนึ่ง ประหนึ่งเป็นฝนแสงโบยบิน ผิดแปลกสะดุดตาอย่างชันเจน
“นี่คือ?”
พวกหลินสวินในใจตระหนก มองเห็นชัดเจนอย่างน่าประหลาด จุดที่หมอกแสงนั้นลอยล่อง ถึงกับเป็นเงาร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิ แก่ชราหาใดเปรียบ สวมชุดนักพรต ผมขาวดุจหิมะทั้งศีรษะสยายลงบนผืนดิน
ฝนแสงพร่ามัวดั่งไอหมอกแถบนั้น อบอวลออกมาจากเงาร่างนี้
ขณะนี้เงาร่างนั้นประจันหน้ากับพวกหลินสวิน นัยน์ตาเป็นสีเงิน ประหนึ่งตะวันร้อนแรงสีเงิน แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัว
พวกหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เหงื่อกาฬเย็นเยียบ ใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ จิตวิญญาณยิ่งแตกตื่นไม่อาจสงบ แทบจะพังทลาย
“แย่แล้ว!”
เจ้าคางคกพลันร้องเสียงประหลาด ในมือมีด้ามดาบเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง ปลดปล่อยแสงสีดำออกมา เกลี้ยงกลมโปร่งแสงขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า ต้านทานกลิ่นอายของเงาร่างนั่น
แค่ชั่วพริบตา สภาพแปลกประหลาดทั้งมวลพลันถดถอยลง ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหวาดผวา ตื่นตระหนกไม่หยุด
เพราะเมื่อครู่นี้ กลิ่นอายของเงาร่างนั้นเกือบจะสยบสังหารพวกเขา!
“บ้านยายมันสิ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นซากศพอริยะ!”
เจ้าคางคกค้นพบสิ่งน่าตระหนก เงาร่างนั้นถึงแม้นัยน์ตาใสสงบ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงศพไร้พลังชีวิตร่างหนึ่ง สิ้นลมมาไม่รู้นานเท่าใดแล้ว
นี่ยิ่งทำให้ผู้คนสยองขวัญ นี่มันอริยะผู้ทรงพลังระดับใดกัน ต่อให้ตายไปแล้ว ยังรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์อย่างสมบูรณ์เสมือนมีชีวิต อีกทั้งกลิ่นอายที่อบอวลจากศพยังเพียงพอจะกำจัดพวกเขาทุกคนอย่างง่ายดาย!
นี่มันเกินจินตนาการโดยสิ้นเชิง!
หากอริยะผู้นี้ยังมีชีวิตจะน่าสะพรึงขนาดไหนกัน
“ตาแก่นี่ต้องเป็นผู้เก่งกาจคนหนึ่งแน่ๆ แต่กลับสิ้นชีพอยู่ที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งตัวไม่เห็นร่องรอยบาดแผลแม้เพียงเสี้ยว นี่เห็นได้ว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
เจ้าคางคกพึมพำกับตัวเอง ดวงตาทองอร่ามคู่นั้นกวาดมองไม่หยุด กำลังสังเกตซากศพอริยะนั่น
ขณะพูดเขาก็กระชับด้ามดาบมั่น ปล่อยแสงทมิฬกลมเกลี้ยงโปร่งแสงออกมา ไม่กล้าผ่อนคลายแม้เพียงเสี้ยว
“นี่คืออริยะหรือ”
ในใจหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างสั่นสะท้าน
ราชันระดับสังสารวัฏก็น่ากลัวมากพอแล้ว เพียงพอให้พวกเขาชะเง้อชะแง้แหงนคอมอง ทว่าอริยะพิเศษโดดเด่นยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏซะอีก!
ระดับอริยะ มีเพียงหลังประสบอมตะเคราะห์เก้าครั้งเท่านั้น จึงจะสามารถบรรลุระดับอันโดดเด่นนี้ได้ เหนือพ้นโลกีย์ เข้าสู่อริยะ ลือเลื่องว่าอายุขัยเทียมฟ้าดิน!
และตอนนี้ ถึงกับมีซากศพอริยะครั้งบรรพกาลผู้หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ได้เห็นพลังโจมตีอันน่าตกตะลึงเช่นนั้นกับตาตนเอง ไม่ว่าใครเกรงว่าล้วนไม่อาจนิ่งสงบ
“ชุดนักพรตนี่… คล้ายหลอมจาก ‘ไหมเงินญาณดารา’!”
ดวงตาทั้งสองของเจ้าคางคกเปล่งประกาย ลมหายใจหนักหน่วง “เด็กดี ของสุดยอดนะเนี่ย ไหมเงินญาณดาราเส้นหนึ่ง เพียงพอที่จะบดทลายภูเขาสูงชันหนึ่งลูก หนักยิ่งกว่าดาวดวงหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าตาแก่นี่จะใช้สมบัติล้ำค่าระดับนี้หลอมเป็นชุดนักพรต!”
เจ้าคางคกน้ำลายแทบหก ดวงตาแดงก่ำ ชุดนักพรตญาณดารา! นี่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับอริยมรรค!
เจ้าคางคกอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป กัดฟันกรอดเค้นพลังจากด้ามดาบ หยั่งเชิงหมายปลดอาภรณ์ซึ่งคลุมซากศพนั่น
แต่แค่ชั่วพริบตาเขาก็ส่งเสียงร้องทุรนทุราย ถูกพลังอันน่าหวาดกลัวอัดกระแทกปลิวกระเด็น กระอักเลือดกบปาก น่าอนาถยิ่งนัก
หากมิใช่ด้ามดาบในมือวิเศษอัศจรรย์ถึงที่สุด แสงทมิฬที่สร้างขึ้นช่วยเขาคลายพลังส่วนใหญ่ได้ แค่การโจมตีนี้ก็เพียงพอทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นลงแล้ว
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนประหวั่นพรั่นพรึง ซากศพอริยะนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้สิ้นชีพไปนานแล้วก็ยังน่าเกรงขามหาใดเปรียบ เสมือนเทพผู้หลุดพ้นจากทางโลกองค์หนึ่ง สามารถกดกำราบผู้รุกล้ำทั้งมวล
“มารดามันเถอะ ไม่นึกเลยว่าคำเล่าลือคือเรื่องจริง เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่น นี่คือกฎแห่งมหามรรค นอกเสียจากว่ามีพลังระดับเดียวกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีทางนำของล้ำค่านี้ไปแต่แรก”
เจ้าคางคกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและไม่พอใจ ชุดนักพรตที่หลอมจากไหมเงินญาณดาราเชียวนะ! กลับไม่อาจนำไปได้…
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสบตากัน
เจ้าคางคกนี่ละโมบเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ชีวิตน้อยๆ แทบจะดับสิ้น เขากลับไม่สนใจแม้แต่นิด ดันเสียใจที่ไม่อาจนำสมบัตินั่นไปได้ ช่างประหลาดพิกลซะจริง
“เจ้าคางคก ด้ามดาบในมือเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”
ทันใดนั้นหลินสวินพลันเปล่งเสียง สายตาจับจ้องไปในมือเจ้าคางคก ตอนแรกที่พบเจ้าคางคก หลินสวินเองก็เคยเห็นด้ามดาบนี้
มันดำสนิทเก่าแก่โบราณ ภายนอกพันผืนผ้าย้อมโลหิตชั้นหนึ่ง มองดูแล้วราวกับของพุพังย้อมโลหิตชิ้นหนึ่ง ไม่ผิดแปลกอันใดเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์