Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 595

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 595 ตำหนักและเบาะรองนั่ง
ตอนที่ 595 ตำหนักและเบาะรองนั่ง
โดย
ProjectZyphon
มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!

ตัวอักษรโบราณเก่าแก่และแปลกประหลาด เป็นอักษรปริศนามหายานของผู้บำเพ็ญธรรม ภิกษุชุดขาวผู้นี้คืออริยะผู้บำเพ็ญธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย!

ทว่าเขาก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกัน คล้ายจะมรณภาพลงตรงนี้

ก่อนสิ้นลม เขาทิ้งอักษรเอาไว้หนึ่งแถว เผยความอ้างว้าง จนปัญญา และเศร้าโศก ทำให้ผู้คนสะเทือนอารมณ์

“ข้ามีความคิดบางอย่าง”

จู่ๆ เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก สายตาจดจ้องประตูหินที่ปิดสนิทอยู่ไม่ไกลออกไป “ในสมัยบรรพกาล มีอริยะจำนวนมากมาแสวงหาวาสนา ก็เหมือนกับพวกเราที่มาถึงหน้าประตูหินบานนี้แล้ว แต่น่าเสียดายเพราะวาสนาไม่ถึงจึงไม่สามารถเปิดประตูหินได้ ทำให้พวกเขาต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำอย่างที่สุด”

“อริยะเรียกได้ว่าอายุยืนตราบเท่าฟ้าดิน แต่กลับไม่ได้เป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างแท้จริง พวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีใครยอมจากไป ด้วยหวังว่าหากเฝ้ารอต่อไป ประตูนี้จะเปิดออกในสักวัน น่าเสียดาย วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง”

เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย เจ้าคางคกก็อดทอดถอนใจไม่ได้ จะว่าไปนี่ก็เป็นวาสนาชะตาลิขิต มิใช่ของตน ต่อให้เฝ้ารอชั่วนาตาปีก็สูญเปล่า

“ในประตูนี้ซ่อนอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งยินดีรอคอยอยู่ที่นี่ รอจนสิ้นอายุขัยก็ไม่ยอมจากไป”

นัยน์ตากระจ่างแวววาวของจ้าวจิ่งเซวียนจ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น

ระดับอริยะ!

เป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวและสูงสุดเพียงใด

ทว่าเพราะวาสนาหนึ่งหลังประตูหินบานนี้ แต่ละคนจึงล่วงลับไปท่ามกลางการรอคอยอย่างยากลำบาก เรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลก คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

และวาสนานั้นลึกลับขนาดไหนกัน ถึงทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งดันทุรังเยี่ยงนี้ ยินดีรอคอยจนลาลับ ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ยอมจากไป

“บางทีพวกเขาอาจไม่ยินยอมพร้อมใจจริงๆ เอาแต่รอคอยอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือพวกเขาไม่มีทางถอยแล้ว ได้แต่เฝ้ารออยู่ตรงนี้เท่านั้น”

ยามที่หลินสวินเอ่ยคำเขาเหลียวมองไปด้านหลัง ตรงนั้นเป็นสีดำสนิททั้งผืน เส้นทางขามาดุจว่าถูกลบล้าง อันตรธานหายไปแล้ว

สิ่งนี้ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งงัน พลันตื่นตระหนกทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”

‘หยุดพูด มีคนมา รีบเก็บงำกลิ่นอาย นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น แสร้งทำทีเป็นศพคนตายเร็วเข้า!’

ทันใดเจ้าคางคกรีบสื่อจิตเตือนอย่างรวดเร็ว

ยามที่เอ่ยวาจา เขาหย่อนก้นนั่งลงข้างภิกษุชุดขาวผู้นั้น ใช้ด้ามดาบในมือสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนตัว แน่นิ่งไม่ขยับประดุจรูปปั้นดินเผา

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเห็นดังนี้ก็ไม่กล้ายืดยาด นั่งลงที่ด้านข้างทางระเบียงทันที คนหนึ่งวางดาบหักขวางอยู่เบื้องหน้า อีกคนกอดกระถางสมบัติเก้ามังกร ต่างเก็บงำกลิ่นอายเช่นเดียวกัน

หากไม่สังเกตอย่างละเอียด ก็ยากจะพบความแตกต่างระหว่างพวกเขากับซากศพของบรรดาอริยะเหล่านั้นได้เลย

การแกล้งเป็นศพก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้อย่างหนึ่ง ทางระเบียงกว้างไม่เกินสองจั้ง ทั้งเบื้องหน้ายังเป็นประตูหินที่ปิดสนิทบานหนึ่ง แม้แต่ที่ให้หลบซ่อนยังไม่มี จึงแต่ใช้วิธีเสี่ยงอันตราเช่นนี้เท่านั้น

‘เป็นใครกันแน่ ถึงกับค้นพบทางระเบียงเส้นนี้ได้’

ในใจพวกหลินสวินต่างก็สงสัย และมีเคร่งเครียดระแววระวังอยู่บ้าง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

ไม่นานนักเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังก้องลอยมาจากความมืดมิดด้านหลังทางระเบียง

ที่ตามมาเสียงฝีเท้านั้นมาคือแสงสว่างจากตะเกียงนิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า สว่างไสวขึ้นอบอุ่น เผยให้เห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่ง

ผู้นำอยู่ข้างหน้าเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทีออกจะตึงเครียด หญิงสาวรูปโฉมงดงาม ในมือถือแผนภาพที่เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยกม้วนหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าแผนภาพนั้นก็เป็นสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง ห้อมล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์ ดุจความฝันดั่งภาพมายา ลอยล่องโปรยปราย พิทักษ์พวกเขาและกลุ่มผู้แข็งแกร่งด้านหลังเอาไว้อยู่ภายในนั้น

‘เป็นพวกเขา!’

หัวใจของหลินสวินสั่นสะท้าน พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้าเพียงใด พริบตาก็รับรู้ได้ว่า ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคู่นั้นก็คือเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่นั่นเอง!

เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะพบพวกเขาสองคนในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ได้!

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังค้นพบทางระเบียงอันสุดแสนลึกลับเส้นนี้ เห็นได้ชัดว่าเหนือคาดเกินไปแล้ว

ไม่รอพวกเขาเข้าใกล้ หลินสวินพลันก้มศีรษะลง พร้อมกันนั้นก็สื่อจิตไปหาจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกอย่างรวดเร็ว แจ้งสถานะของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ให้รู้โดยคร่าวๆ

ทั้งยังเตือนพวกเขาให้อดกลั้นไว้ก่อนชั่วคราว อย่าได้ลงมือตามอำเภอใจ

‘ผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารี…’

ไม่นานนักหลินสวินก็สัมผัสได้อีกว่า บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ตามอยู่เบื้องหลังของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจากสายคนเถื่อนวารีทั้งสิ้น

ถึงแม้พวกเขาจะมีท่าทางไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์ ทว่ากลิ่นอายและรูปลักษณ์นั่นจำแนกได้ง่ายมาก แรกเริ่มเดิมทีตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือด ก็ได้สังหารผู้สืบทอดของสายคนเถื่อนวารีจำนวนมาก ย่อมไม่อาจจำผิดอยู่แล้ว

‘ดูเหมือนว่า พวกเขาจะร่วมมือกับสายคนเถื่อนวารีจึงมาถึงที่นี่ได้…’

หลินสวินกระจ่างในใจบ้างแล้ว

เมื่อครู่เขาสัมผัสได้เป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าเหลียนเฟยหรือเหยาซู่ซู่ ก็เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ยังไม่ได้ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะ

หากไม่ได้การคุ้มกันของผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะจบชีวิตลงตั้งแต่เข้าสู่อาณาเขตของแดนลับอสูรมารอริยะ ไม่สามารถเหยียบย่างลงบนภูเขาเทพหมอกม่วงที่โหดเหี้ยมนองเลือดหาใดเปรียบแห่งนี้ได้เป็นอันขาด

“อริยะตายไปตั้งมากมายขนาดนี้ ซู่ซู่ พวกเรา…ก็คงไม่…”

สีหน้าเหลียนเฟยซีดขาว น้ำเสียงสั่นพร่า

“อย่าพูดไม่เป็นมงคล เจ้าเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางถอย มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น”

เหยาซู่ซู่ตำหนิเสียงกระซิบคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่ากังวลเกินเหตุ มีแผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ให้ จะต้องนำทางเราไปเจอวาสนาหาที่เปรียบมิได้ที่ซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน”

“หวังว่าอย่างนั้นเถอะ”

เหลียนเฟยยังคงรู้สึกหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียอยู่

แน่นอน สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเหลือล้น มีซากศพอริยะเกลื่อนกล่นตลอดทาง ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใคร ก็กลัวแต่ว่าจะไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้

“จะว่าไป แผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้อัศจรรย์หาใดเปรียบ ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราค้นพบทางระเบียงที่ซ่อนเร้นมิดชิดแห่งนี้ ยังสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนซากศพอริยะพวกนั้นได้ด้วย เป็นสมบัติหายากชิ้นหนึ่งอย่างสิ้นเชิง”

ดูเหมือนเหลียนเฟยจะรู้สึกว่าการแสดงออกของตนไม่เอาไหนไปสักหน่อย จึงกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “บางทีอาศัยสมบัติชิ้นนี้ ก็สามารถทำให้พวกเราหนีรอดแคล้วคลาดได้จริงๆ”

“ไม่ใช่หนีรอดแคล้วคลาด แต่ค้นเจอวาสนาต่างหาก”

เหยาซู่ซู่เอ่ยแก้

“ใช่ๆๆ จะต้องหาวาสนาพบเป็นแน่”

เหลียนเฟยพยักหน้าติดๆ

“มีประตูหินบานหนึ่งอยู่ข้างหน้า!”

ในยามนี้ดวงตาเหยาซู่ซู่เปล่งประกายระยับ รีบสาวเท้ารุดไปเบื้องหน้า

“ถึงปลายทางแล้วหรือ”

เหลียนเฟยและผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีคนอื่นๆ รีบก้าวตามไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ยามเดินผ่านหลินสวินและพวก ไม่มีใครสัมผัสถึงเลยแม้แต่ครึ่งเสี้ยว จิตใต้สำนึกมองว่าพวกเขาเป็นซากศพอริยะไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด

ถึงอย่างไรเกรงว่าใครก็ไม่อาจคิดได้ว่า ภายในทางระเบียงอันลี้ลับเส้นนี้ยังจะมีคนรุดหน้ามาถึงที่นี่ก่อน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีซากศพอริยะเกลื่อนกลาดตลอดทาง หากปราศจากการป้องกันจากสมบัติลับ แม้จะครอบครองพลังการต่อสู้มหาศาล กลัวแต่ว่าก้าวเดียวก็เดินลำบากแล้ว

ความเข้าใจภายในจิตใต้สำนึกประเภทนี้ พาให้พวกเหยาซู่ซู่ถูกประตูหินที่อยู่ปลายทางระเบียงดึงดูดโดยตรง ไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างของที่นี่

“มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!”

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ แผนภาพลึกลับที่เหยาซู่ซู่ถืออยู่ในมือ ถึงกับเทียบกันได้คำต่อคำ ทำให้รู้ความหมายอักษรปริศนามหายานหนึ่งแถวนั้นที่ภิกษุชุดขาวเหลือทิ้งไว้

‘เจ้าคางคก ดูเหมือนว่าที่พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ก็เพราะอาศัยแผนภาพปริศนาม้วนนั้น รอสบโอกาสลงมือ ข้าจะไปจัดการผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีพวกนั้น เจ้าและแม่นางจ้าวไปชิงแผนภาพปริศนานั้นมา’

หลินสวินสื่อจิต ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกคนนอกได้ยินเลยแม้แต่น้อย

เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนต่างก็ตอบตกลงทันที

“สิ่งที่เรียกว่าวาสนาจะต้องอยู่ด้านในประตูนี้อย่างแน่นอน!”

ขณะนี้เหยาซู่ซู่และคนอื่นๆ ยังไม่สังเกตเห็นว่าอันตรายอยู่ไม่ไกลจากข้างตัวพวกเขานัก แต่ละคนแลดูฮึกเหิม จ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น

“มัวลังเลอะไรอยู่ รีบไปผลักประตูบานนั้นออกเร็ว!”

ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีคนหนึ่งส่งเสียงเร่งเร้า

“ทำไมเจ้าไม่ไป”

เหลียนเฟยไม่พอใจยิ่ง ตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์

“ยังกล้าตีฝีปาก ตลอดทางมานี้หากไม่มีการปกป้องเต็มกำลังจากพวกเรา พวกมนุษย์อ่อนแออย่างพวกเจ้าคงตายไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมาถึงที่นี่ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์