สิ่งที่ทำให้หลินสวินสนใจจริงๆ คือ เจดีย์สมบัติไร้อักษรและแผนภาพปริศนาม้วนนั้นออกมาจากตำหนักใหญ่ลึกลับแห่งนี้จริงๆ ใช่หรือไม่
ทว่าตอนแรก ใครเป็นคนนำพวกมันออกมากันเล่า
แล้วเกิดเหตุบังเอิญแบบไหนกัน ท้ายที่สุดถึงได้ถูกเหยาทั่วไห่ถือครอง
ฟังจากคำพูดที่เหยาซู่ซู่กล่าวมาเมื่อครู่แล้ว สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ แม้แต่เหยาทั่วไห่ก็ไม่อาจสืบเสาะความเร้นลับแท้จริงของแผนภาพปริศนาและเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาได้!
ตอนนี้แผนภาพปริศนานั้นอันตรธานหายไป กลายเป็นมรรคคาถาหนึ่งบทประทับอยู่กลางอากาศ แต่ละอักษรล้วนงดงาม แย้มบานกลิ่นอายเจิดจรัสศักดิ์สิทธิ์ ลึกลับยากหยั่งถึงอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ก็คือศุภโชค นี่แหละคือวาสนาชะตาลิขิต!”
จู่ๆ เจ้าคางคกพลันส่งเสียงทอดถอนใจ ท่าทีเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ยาก “หากมีเพียงแค่แผนภาพปริศนาก็ไม่อาจประจักษ์แจ้งถึงภาพเบื้องหน้านี้ได้โดยเด็ดขาด เหตุผลเดียวกัน หากไร้ซึ่งเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ปรากฏขึ้นได้”
เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตากวาดมองตำหนักใหญ่แห่งนี้แล้วค่อยกล่าวต่อ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ แม้จะครอบครองเจดีย์สมบัติไร้อักษรและแผนภาพปริศนาม้วนนั้นแล้ว หากไม่ได้มาถึงสถานที่แห่งนี้ ก็ไม่สามารถทำให้จิตรกรรมเก่าแก่โบราณบนผนังรอบทิศนั้นปรากฏขึ้นได้ และคงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเกิดเรื่องเหลือเชื่อระดับนี้ได้”
“หรือกล่าวอีกนัยว่า ตำหนักใหญ่ เจดีย์สมบัติไร้อักษรและแผนภาพปริศนาม้วนนั้น ระหว่างสามสิ่งนี้เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ต่างก็สัมพันธ์กันเหมือนดั่งสลักดาลและกุญแจ มีเพียงยามที่ปรากฏขึ้นพร้อมกันเท่านั้น จึงจะสามารถเผยให้เห็นภาพเบื้องหน้าพวกเราได้”
ครั้นได้ยินดังนี้ หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนล้วนเห็นพ้อง
พวกเขาทอดสายตามองไปยังมรรคคาถาสีเขียวเจิดจ้าที่อยู่กลางอากาศนั้น แต่ละคำล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ปลดปล่อยความหมายอันลึกซึ้งแห่งมหามรรค อัศจรรย์อย่างที่พรรณนามิได้
“มรรคคาถาบทนี้ก็ไม่เรียบง่าย น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของตำหนักใหญ่แห่งนี้ทิ้งเอาไว้ ในนั้นยังซ่อนความลึกลับที่คาดเดาไม่ได้เอาไว้นานัปการ”
นัยน์ตาสีทองของเจ้าคางคกทอประกาย สังเกตอย่างถี่ถ้วน “อย่าลืมว่าจิตรกรรมเก่าแก่ทุกภาพบนผนังหินของตำหนักใหญ่นี้ต่างรวมอยู่ในอักษรมรรคเหล่านี้ ในนี้ต้องซ่อนเร้นความหมายลุ่มลึกเป็นแน่!”
“เจ้ามองอะไรออกบ้าง”
หลินสวินเอ่ยถาม เขาย่อมรู้ดีว่ามรรคคาถาบทนี้ไม่เรียบง่าย มิฉะนั้นไหนเลยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันแสนอัศจรรย์เช่นนี้ได้
“เจ้าดูประโยคแรก ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา”
เจ้าคางคกสีหน้าสุขุม “ยังจำจตุโบราณสถานเก่าแก่ที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นก็มีแหล่งสถานคุนหลุนด้วย และจากที่เล่าลือกันมาตั้งแต่บรรพกาล หากหมายจะปีนป่ายคุนหลุน จะต้องผ่านเส้นทางโบราณนภสินธุ์ที่ทอดข้ามความว่างเปล่าโดยรอบ!”
“ความหมายของเจ้าคือ ประโยคแรกนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่เส้นทางโบราณนภสินธุ์ และรุดหน้าไปยังแหล่งสถานคุนหลุน?”
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างตะลึงงัน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยได้ยินความลับบรรพกาลชั้นนี้
“แปดเก้าในสิบส่วนเป็นเช่นนี้ เจ้าของตำหนักนี้ถึงกับมองว่าเส้นทางโบราณนภสินธุ์เป็นรองเท้าข้างหนึ่งที่ใช้เยื้องย่างเข้าคุนหลุน จากเจตนารมณ์นี้ก็มองออกแล้วว่าการฝึกปราณของคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด”
ในน้ำเสียงของเจ้าคางคกเจือแววทอดถอนใจ “แหล่งสถานคุนหลุนเชียวนะ หนึ่งในจตุโบราณสถานเก่าแก่ เทียบกับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วยิ่งเจือสีสันแห่งความลี้ลับถึงสามส่วน ลือกันว่าเกี่ยวข้องกับมรรคาเซียนอันแท้จริง ต่อให้เป็นอริยบุคคลบรรพกาล ก็แทบไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงแห่งแหล่งสถานคุนหลุนเลย!”
“แล้วประโยคที่สองนั่นจะอธิบายว่าอย่างไร”
หลินสวินรับฟังจนอารมณ์เริ่มไม่สงบ อดถามขึ้นมาไม่ได้
“เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร…”
เจ้าคางคกท่องอย่างถี่ถ้วน กลับใคร่ครวญร้อยหนก็ไม่เข้าใจ กล่าวเนือยๆ ว่า “นี่น่าจะอธิบายถึงระดับการฝึกปราณอย่างหนึ่ง บรรลุถึงระดับนี้ เพียงสะบัดแขนเสื้อก็สามารถเกี่ยวตะวันและจันทราลงมาได้ ทำให้ความนัยอันลึกซึ้งแห่งมหามรรคทั่วฟ้าถูกควบคุมและใช้งานอยู่ในมือ”
หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนตะลึงงัน หากเป็นจริงดังที่เจ้าคางคกพูด นั่นก็เป็นระดับปราณที่น่ากลัวและเอกเทศเกินไปแล้ว แทบไม่สามารถวัดประเมินและหยั่งถึงได้เลยแม้แต่น้อย!
“แต่ว่า ประโยคนี้จะต้องไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ปรากฏผิวเผินเป็นแน่”
เจ้าคางคกเกาศีรษะ “ข้ารู้สึกอยู่เนืองๆ ว่ามรรคคาถาบทนี้มีความหมายเปรียบเปรย ซ่อนความลับยิ่งใหญ่บางอย่างเอาไว้ เพียงแต่อาศัยความสามารถของพวกเราตอนนี้ ยังไม่อาจอนุมานและทำความเข้าใจได้”
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง
”เมื่อครู่ที่ข้าประจันหน้ากับผู้หญิงคนนั้น อาศัยเพียงแผนภาพปริศนาม้วนนั้นก็สกัดการโจมตีของข้าได้ เดิมทียังคิดว่านี่เป็นสมบัติอริยมรรคที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งเสียอีก ใครจะไปคิดว่าท้ายที่สุดมันกลับกลายร่างเป็นมรรคคาถาบทหนึ่ง ลำพังจุดนี้ก็มองออกแล้วว่ามรรคคาถาบทนี้เหนือธรรมดาเพียงใด”
ดวงตาสุกใสของจ้าวจิ่งเซวียนเอ่อล้นด้วยแสงวาววับ ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกทอดถอนใจอย่างที่บอกไม่ถูก
ทุกสิ่งที่ประจักษ์เบื้องหน้า ล้วนเห็นชัดว่าเอกเทศเกินไปและไร้ใดเทียบ อาศัยเพียงองค์ความรู้ปัจจุบันของพวกเขา คงไม่สามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งในนั้นได้
แค่คิดก็รู้แล้วว่าเจ้าของที่จัดเตรียมทุกสิ่งนี้ ระดับการฝึกปราณจะสูงส่งเพียงใด
วู้ม!
เวลานี้มรรคคาถาที่ประทับกลางอากาศบทนั้นพลันกระเพื่อมแปรปรวน จากนั้นแปรเป็นแสงพิรุณสีเขียวจรัสจ้าทั้งผืน พุ่งเข้าสู่เจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือหลินสวิน
หลินสวินตื่นเต้น รีบเร่งไปสืบเสาะ ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาต้องผิดหวัง
แสงพิรุณที่เกิดจากมรรคคาถาผืนนั้น หลังเข้าสู่เจดีย์สมบัติไร้อักษรแล้วก็อันตรธานอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ และมิได้นำพาความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่เจดีย์สมบัติไร้อักษรเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ก็เหมือนระเหยหายไปในอากาศภายในเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้เจ้าคางคกอิจฉาจนน้ำลายหกอยู่ดี
นัยน์ตาของเขาถลนออกมา จ้องเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือหลินสวินอย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าคลั่งไคล้ ดุจหมาป่าหิวโซจับจ้องเหยื่อ กล่าวงึมงำ “เจ้าระยำนี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีต้นกำเนิดเหนือธรรมดาชิ้นหนึ่งเป็นแน่! ไม่เพียงแต่ทุกส่วนหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค ด้านในยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่แห่งบรรพกาลเอาไว้อีกด้วย!”
หากไม่เพราะหลินสวินเก็บเจดีย์องค์นี้เอาไว้อย่างระแวดระวังสุดขีด คนโลภทรัพย์ปานชีวันอย่างเจ้าคางคกผู้นี้ เกรงว่าคงจะพุ่งเข้ามาแย่งชิงกับหลินสวินตั้งแต่ต้นแล้ว
ถูกหลินสวินปัดป้องเหมือนโจร เจ้าคางคกก็มิได้หงุดหงิด เนื่องจากเขาเลื่อนสายตาไปอย่างว่องไว ติดหนับอยู่บนแท่นมรรคสามฉื่อซึ่งอยู่ปลายตำหนักใหญ่นั้น
ตรงนั้นต่างหากที่เป็นที่ตั้งของ ‘มหาศุภโชค’ ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้!
แสงสมบัติบนแท่นมรรคไหลเวียน เปล่งประกายหลากสีสัน มีคัมภีร์มรรคม้วนแล้วม้วนเล่า มีขันสำริด ปลาไม้ แส้หางม้า บรรทัดทัณฑ์ ตะเกียงเขียว…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์