Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 616

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 616 ปิดฉากวาสนา
ตอนที่ 616 ปิดฉากวาสนา
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินเดินไปนั่งขัดสมาธิหน้าเบาะรองนั่ง

ตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นไหลวนด้วยแสงทองศักดิ์สิทธิ์ไพศาล เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรค

เพียงแต่หลังจากได้รับความลี้ลับของ ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ในสายตาหลินสวินตอนนี้ ตำราทองสาส์นหยกเล่มนี้ก็ผิดแผกไปจากแต่ก่อน แสงสีทองที่ไหลเวียนนั้นแวววาวเปล่งประกาย ถึงกับสะท้อนภาพโลกใบน้อยอย่างคลุมเครือ

หลินสวินประหลาดใจ เขาไม่ได้ดูผิดไป ภายในแสงทองเจิดจ้าปรากฏเศษเสี้ยวภาพประทับของโลก ดุจโบราณสถานทรุดโทรมภาพหนึ่ง

ที่นั่นภูเขาเทพพังทลาย ตำหนักถล่ม สิ่งก่อสร้างโบราณทั้งมวลล้วนกลายเป็นซากปรักหักพัง ต้นไม้โบราณและหญ้ามงคลแปรสภาพเป็นเถ้าถ่านนานแล้ว

สถานที่ที่เดิมควรเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลไม่รู้ว่าผ่านภัยพิบัติเช่นไร กลับกลายเป็นโบราณสถานทรุดโทรม เศษซากกระจัดกระจาย ฝุ่นผงปกคลุมไปทั่ว

‘ดวงกมล!’

ในใจหลินสวินไหวหวั่น เห็นว่าบนเขาที่ถล่มราบคาบนั้นมีอักษรมรรคบรรพกาลคลุมเครือหลงเหลือเป็นด่างดวงอยู่

‘เสี้ยวจันทร์… สามดารา…’

ไม่นานนักเขาก็เห็นอีกว่าหน้าประตูเขาโบราณที่เอนเอียงนั้น มีป้ายหินโบราณตั้งเอียงอยู่ท่ามกลางปรักหักพัง เมื่อเพ่งมองโดยละเอียดก็พอเห็นตัวอักษรเหล่านี้รางๆ

‘หรือว่าที่นี่ก็คือสถานที่ที่เหล่าอริยะผู้บำเพ็ญธรรมต้องการแสวงหา’

หลินสวินนึกถึงอักษรปริศนามหายานที่หลงเหลืออยู่บนแท่นบูชาโบราณสี่สิบเก้าแท่นนั้น ในใจบังเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ตอนนั้นเจ้าคางคกกับเขาล้วนคาดเดาว่า สาเหตุที่อริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นจดจ่อกับการตามหาคีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดารา เป้าหมายก็เพื่อให้ได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’

และที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ สุดท้ายอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นล้วนล้มเหลว ดังนั้นจึงคิดว่านี่คือการหลอกลวง คีรีดวงกลมเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับอึ้งงันอยู่บ้าง คีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดาราที่ว่าเหมือนจะมีอยู่จริง… ไม่ได้เป็นการหลอกลวง…

“หืม”

หลินสวินตกตะลึง ภาพทิวทัศน์เลือนรางที่เขาเห็นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง บังเกิดเป็นเงาร่างเงาหนึ่ง!

เงาร่างนั้นหยุดอยู่หน้าประตูเขาโบราณเอนเอียง มองเห็นเพียงเงาเบื้องหลัง นิ่งเงียบเหมือนกำลังนึกถึงอดีต ไม่ไหวติงราวรูปปั้น

คีรีเทพที่แยกออก ประตูเขาโบราณที่เอนเอียง อารามที่กลายเป็นซากปรักหักพัง เงาร่างเงาหนึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ภายในนั้น ถึงกับทำให้เกิดบรรยากาศสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

และสำหรับหลินสวินแล้ว ชั่วพริบตาที่เห็นเงาร่างนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง ไพศาลราวท้องฟ้า พยศทะลุเมฆา น่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด!

ประหนึ่งเผชิญหน้าราชันการศึก ไม่อาจต้านทานได้ กดดันจนผู้อื่นหายใจไม่ออก

เพียงแค่เงาเบื้องหลังที่รูปลักษณ์เหมือนคนเงาหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูเขา แต่กลับประหนึ่งยอดราชันยุคบรรพกาล สามารถทำให้เก้าชั้นฟ้าสิบปฐพีสั่นสะเทือนหวาดหวั่น ท่าทางพยศและทระนงนั้นน่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว

แม้ว่าห่างกันนับพันหมื่นปีในวันเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน แม้จะรู้ว่าที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงเศษเสี้ยวภาพประทับ แต่หลินสวินยังคงจิตใจหวาดผวาสั่นระรัว ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนมดพบเข้ากับเทพเบื้องบน

เงาร่างนี้ทรงอำนาจเกินไปแล้ว!

‘เป็นเขาใช่ไหม’

ในใจเด็กหนุ่มสั่นไหวไม่อาจสงบลงได้

เพราะเขาพอจะจำได้ว่า กลิ่นอายของเงาร่างนั้นเหมือนกับเงาร่างแข็งกร้าวที่ตนเห็นในแผนภาพลับการต่อสู้นั้นยิ่งนัก ราวกับเป็นคนเดียวกัน

ท่าทางผยองคับฟ้า แข็งกร้าวทะลุเมฆาเหมือนกัน! เหมือนสามารถผลักเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน สังหารเหนือฟ้าใต้ปฐพี โรมรันหาผู้ใดเทียบ!

ไม่นานนักเงาร่างนั้นพลันขยับตัว เขาคุกเข่าทั้งสองลงหน้าประตูเขา ไม่พูดสักคำแล้วโขกหัวลงสามครั้ง

หลังจากนั้นสองมือของเขาก็นำสาสน์หยกชิ้นหนึ่งออกมา และผนึกลงในประตูเขา

ในใจหลินสวินสั่นระรัว นั่นไม่ใช่ตำราทองสาส์นหยกหรอกหรือ

ไม่ทันคิดให้แน่ชัด หน้าประตูเขาที่เอนเอียงนั้นพลันมีอสนีพิบัตินับหมื่นพันทอดตัวลงมา!

ในเวลาเดียวกัน ประหนึ่งมารเทพทั้งสวรรค์ปรากฏตัวบดบังฟ้าดินผืนนั้น กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นตลบอบอวล

เขาไม่ถอยกลับรุก พุ่งเข้าไปในมหาอสนีพิบัตินับหมื่น ห้ำหั่นกับมารเทพทั้งสวรรค์ ท่วงท่าแข็งกร้าวและโอหังนั้นทำให้เงาร่างของเขาราวกับแสงที่ส่องสว่างไปในห้วงเวลายาวนาน!

การต่อสู้ดุเดือดครั้งหนึ่งปะทุขึ้นแล้ว

และในตอนนี้เอง ภาพแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ แต่เพียงแค่กลิ่นอายของการต่อสู้นั้น ล้วนสามารถทำให้ปวงเทพหวาดหวั่น น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว ราวกับจะทลายโลกา

สีหน้าหลินสวินพลันแปรเปลี่ยนไป ในใจแทบกระตุกอย่างรุนแรงฉับพลัน ถอนสายตาออกมาในทันใด

และในเวลานี้เอง ตำราทองสาส์นหยกก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ภาพทั้งหมดหายไปแปรเปลี่ยนเป็นแสงธรรมสีทองเจิดจ้าไหลวน

“ที่แท้ คัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นเขาที่ทิ้งไว้…”

หลินสวินพูดกับตัวเอง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็รู้ที่มาของตำราทองสาส์นหยกแล้ว ทั้งยังหยั่งรู้ได้ถึงคุณค่าสูงส่งหาใดเทียบของมัน แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ นั้น ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดาราอย่างแยกไม่ออก!

หลินสวินลุกขึ้นเผชิญหน้ากับตำราทองสาส์นหยกที่อยู่บนเบาะรองนั่ง ในที่สุดก็คำนับอย่างจริงจังครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ถ่ายทอดวิชา”

ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาได้หยั่งรู้อย่างสมบูรณ์และได้รับสืบทอดปริศนาซึ่งเป็นแก่นของวิชาอริยะยุทธ์แล้ว

ส่วนตำราทองสาส์นหยกนั้น แม้ว่าไม่ได้ครอบครองก็ไม่มีความหมายสำหรับเขา

นี่ก็เรียกได้ว่า ‘ได้แก่นลืมรูป’ เมื่อได้แก่นสารแล้วย่อมหลงลืมรูปลักษณ์ของสิ่งนั้น!

สำหรับหลินสวิน ตำราทองสาส์นหยกนั้นเป็นภาชนะและรูปลักษณ์อย่างหนึ่งเสียมากกว่า ความลี้ลับภายในนั้นประทับเข้าไปในใจเขานานแล้ว

นี่เป็นการถ่ายทอดผ่านการศึกอย่างหนึ่ง ในการต่อสู้เมื่อครู่สามารถหยั่งถึงความหมายที่แท้จริงของมันได้ หากหมายจะช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกเพียงอย่างเดียว กลับไม่สามารถพบเห็นได้

และในเวลานี้เอง ภายในอาศรมโบราณก็เกิดเสียงร้องครั่นครืนไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับเสียงมหามรรคแผ่กระจายออกมา

เบาะรองนั่งหายไปแล้ว แปรสภาพเป็นละอองแสงปลิวละล่อง

ตำราทองสาส์นหยกก็หายไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน ราวกับไม่เคยอุบัติขึ้นมาก่อน ไม่อาจตามหาร่องรอยการมีอยู่ได้สักนิด

อาศรมโบราณหลังนี้ก็สลายไปในห้วงอากาศตามกันไป แล้วแปรสภาพเป็นกระถางหินเก่าแก่เก้าใบ ต่อมาก็คืนสู่ตำหนักโบราณที่อยู่บนยอดภูเขาเทพทั้งเก้านั้น

ส่วนหลินสวิน ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เงาร่างก็ถูกละอองแสงมหามรรคปกคลุมจนหายไปนานแล้ว

……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์