หลินไหวหย่วนใจสั่นสะท้าน รีบห้ามปราม “ผู้นำตระกูล ไม่ได้เด็ดขาด คืนนี้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมรวมตัวคนใหญ่คนโตของสามตระกูลรอง เรียกได้ว่าเป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร ท่านเพิ่งจะกลับมานครต้องห้าม ยังไม่รู้สถานการณ์ภายในชัดเจน จะไปเสี่ยงด้วยตัวเองได้อย่างไร”
หลินจงเองก็กล่าวว่า “นายน้อย เรื่องนี้ควรคิดการณ์ไกลให้รอบคอบ”
กลับเห็นหลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าวราบเรียบ “คนใหญ่คนโตสามตระกูลล้วนรวมตัวพร้อมกันหรือ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องไปคิดบัญชีพวกมันทีละคน!”
น้ำเสียงเจือไอสังหารเย็นยะเยียบ
ปีแรกที่เข้าสู่นครต้องห้าม เขาเคยรับปากต่อหน้าธารกำนัล ให้โอกาสสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุพิจารณาครั้งหนึ่งโดยกำหนดเวลาสามปี ภายในสามปีนี้จะไม่ลงมือกับพวกเขา
เดิมทีหลินสวินคิดว่าเงื่อนไขที่ตนเสนอให้ถือว่ายอมถอยและใจกว้างมากพอแล้ว แต่บัดนี้ผ่านไปสามปี อีกฝ่ายได้เริ่มวางแผนช่วงชิงอำนาจในภูเขาชำระจิต นี่แสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาตัดสินใจแล้วโดยมิต้องสงสัย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินสวินไหนเลยจะสามารถอดทนต่อไปอีก
หลินไหวหย่วนกล่าวลังเล “ผู้นำตระกูล ใช่ว่าข้าปากมาก เพียงแต่ท่านน่าจะทราบดี เบื้องหลังสามตระกูลนั่น… ยังมีขุมอำนาจสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน…”
ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินก็เอ่ยเสียงเยาะหยัน “ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอะไร ก็แค่ยิ่งใหญ่คับแผ่นดินนครต้องห้ามเล็กๆ นี้เท่านั้น”
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้า รอเมื่อข้าเหยียบประตูใหญ่ของตระกูลหลินแห่งธารประจิม ดูซิว่าพวกเขายังจะทำอะไรข้าได้! หากพวกเขาไม่ให้คำอธิบายที่น่าพึงใจแก่ข้า ก็อย่าหาว่าข้าขจัดญาติผดุงความเป็นธรรมเลย!”
แม้น้ำเสียงหลินสวินจะเป็นปกติ แต่พวกหลินไหวหย่วน หลินจง เสี่ยวเคอกลับฟังออกถึงความอาจหาญเหยียดหยันใต้หล้าจากปากเขา
สองตระกูลจั่ว ฉินซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลแห่งจักรวรรดิ เวลานี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาหลินสวิน แค่จุดนี้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว
แต่นี่ก็เป็นความจริง หากสุ่มเลือกเผ่าใดเผ่าหนึ่งในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณออกมา ล้วนเพียงพอที่จะบดขยี้อำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงใดๆ ก็ได้ตระกูลหนึ่งอย่างสบายๆ และในตอนนั้นหลินสวินยังสังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าเยี่ยวหดตดหาย แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏล้วนไม่อาจทำอะไรเขาได้
ดังนั้นต่อให้สองตระกูลจั่วและฉินแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะแกร่งกว่าขุมอำนาจพวกนั้นได้หรือ
กล่าวได้ว่าผ่านประสบการณ์ในทะเลกลืนวิญญาณครั้งนี้ ทำหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์จริงๆ
เขาก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอ่อนแอกระจ้อยร่อย ได้แต่อาศัยกลวิธีบางอย่างมาป้องกันตนเองขณะเผชิญหน้าความอัปยศอดสู การโจมตีและการแก้แค้น ที่ควรอดกลั้นก็ได้แต่อดทน
เขาในเวลานั้นไม่ว่าจะเสียใจ ผิดหวังหรือเป็นทุกข์ มุมปากยังคงแขวนประดับรอยยิ้มสดใสอำพรางความรู้สึกภายในใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองกระอักกระอ่วนเกินไป
แต่หลินสวินในตอนนี้ผ่านการเคี่ยวกรำอันตรายนานัปการ หลังก้าวสู่มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง มุมมองและวิสัยทัศน์ได้ต่างไปจากอดีตที่ผ่านโดยสมบูรณ์!
นครต้องห้ามก่อนหน้านี้ แต่ละตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงประดุจสิ่งใหญ่โตมหึมา ทำเอาหลินสวินล้วนไม่กล้าแข็งขืนปะทะอย่างจริงจัง
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่หวั่นเกรงอะไรแล้ว
‘นายน้อยเปลี่ยนไปแล้ว เสมือนดั่งคนใหญ่คนโตที่แท้จริง สายตากว้างขวาง หยิ่งทระนงไม่แยแส ราวกับกระบี่วิเศษที่ผ่านพันค้อนร้อยหลอม และเผยความคมกริบไร้เทียมทานแก่โลกหล้าในยามนี้!’
หลินจงใจลอย ตั้งแต่วันแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม กระทั่งปัจจุบันก็ผ่านไปประมาณสามปี
ในสามปีหลินจงแทบจะมองดูว่าหลินสวินผงาดขึ้นทีละก้าวอย่างไร ทั้งเปลี่ยนเป็นทรงพลังยิ่งขึ้นทีละก้าวเช่นไร
มาบัดนี้ บางทีหลินสวินอาจเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่ง แต่ประสบการณ์และความจัดเจนของเขา พลังที่สามารถควบคุมได้ ล้วนเพียงพอที่จะเรียกอย่างภาคภูมิว่า ‘มหายุทธ์’! เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่แท้จริงคนหนึ่ง สามารถเหยียดหยันคนในระดับขอบเขตเดียวกัน อหังการทะนงตัว!
อย่างน้อยที่สุดในนครต้องห้ามตอนนี้ หลินสวินเหนือกว่าคนวัยเดียวกันอยู่โข ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตบางส่วน ก็เกรงว่ายังยากจะมีชัยได้
“ที่นายท่านกล่าวมาทั้งหมดคือที่สุด การฝึกปราณของพวกเรา จิตใจเปรียบดั่งเหล็ก อิทธิพลที่เรียกทั้งหมด ไม่ว่าจะเงินทองและความมั่งคั่ง ท้ายที่สุดล้วนแต่ว่างเปล่า มีเพียงพลังแห่งตนซึ่งยึดกุมไว้มั่น จึงจะเป็นรากฐานแห่งความยิ่งใหญ่นิรันดร์อย่างแท้จริง!”
ราชันอินทรีแดงที่อยู่อีกฟากกล่าวชื่นชม “ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านสู้ศึกในทะเลกลืนวิญญาณนานครึ่งปีด้วยตัวคนเดียว สังหารจนวีรชนคนกล้าแต่ละเผ่าถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี ราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งไม่อาจทำอะไรได้ พลังเช่นนี้มีหรือจะให้พวกมีอิทธิพลทางโลกพวกนั้นมาสบประมาทและดูหมิ่นได้”
พูดถึงตรงนี้ มหายุทธ์ชั้นยอดในหมู่อสูรมารบำเพ็ญตนนี้ถึงกับตื่นเต้นไม่หยุด กล่าวเสียงมีพลังกึกก้อง “สมัยบรรพกาล อัครบุคคลผู้หนึ่งเพียงขยับมือก็สามารถทำลายล้างผืนพิภพฟากหนึ่งได้ แค่ดีดนิ้วสามารถทำให้สุริยันจันทราจมดิ่ง สิ่งที่พึ่งพาล้วนเป็นพลังแห่งตน! ส่วนอิทธิพล ความมั่งคั่งและฐานะพวกนั้น สำหรับพวกเราก็แค่เพียงม่านหมอกผ่านตาเท่านั้น”
คำพูดพวกนี้ทำเอาหลินสวินเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ ราชันอินทรีแดงครอบครองพลังปราณสูงสุดในระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ไม่ธรรมดาจริงๆ ดังคาด อย่างน้อยที่สุดในด้านมุมมองความรู้ความเข้าใจก็เหนือธรรมดา
พวกหลินไหวหย่วน หลินจงต่างเงียบงัน พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่า หลังหายไปครึ่งปี หลินสวินต่างจากที่ผ่านโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว
“ผู้นำตระกูล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปเยือนพร้อมกับท่าน!”
หลินไหวหย่วนสูดหายใจลึก อาสาต้านศึกด้วยตนเอง
“นายน้อย พาข้าไปด้วยเถอะ”
หลินจงเองก็มองไปยังหลินสวิน
เห็นว่าเสี่ยวเคอเองหมายเอ่ยปาก หลินสวินกล่าวในบัดดล “ไม่จำเป็น ราชันอินทรีแดงไปกับข้าก็เพียงพอแล้ว คนไปมากกลับทำให้พวกเขาดูถูกข้าหลินสวิน!”
อันที่จริงหลินสวินตัดสินใจเช่นนี้ เพราะกังวลว่าหากหลินไหวหย่วนและหลินจงไปด้วยแล้ว จะไม่อาจฝืนทนเห็นการนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างน่าสังเวชได้ และเอ่ยปากห้ามปรามเขา
ถึงอย่างไรสำหรับผู้อาวุโสเช่นพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ก็ยังมีสายเลือดตระกูลหลินไหลเวียน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทนเห็นเหตุการณ์น่าอนาถฆ่าฟันกันเองจำพวกนี้เกิดขึ้น
แต่หลินสวินกลับจำเป็นต้องทำเช่นนี้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์