พฤกษาพลิ้วไหว หมู่ไผ่ปกคลุมหนาแน่น
เหนือภูเขาจำลองศาลาไม้ บนทิวเขาและยอดเขาด้านหนึ่ง น้ำตกไหลรินลงมาราวมังกรขาว ฟองน้ำสาดกระเซ็นออกมาดุจไข่มุกล้ำค่า
ผู้นำตระกูลฉือฉือหลิงเซียวแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งตัว นั่งหลังตรงกลางศาลาไม้ มือถือคัมภีร์ม้วนหนึ่ง กำลังอ่านอย่างสบายใจ
ฉือฉางเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สองตระกูลฉินและจั่วนี่มือเติบเสียจริง ไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อลงมือก็ใช้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติถึงหกคน ทุกคนล้วนเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียงมานานปี ไม่มีใครธรรมดาเลยสักคน ดูท่าหลินสวินผู้นั้นคงไม่มีหวังจะรอดชีวิตอีกแล้ว”
ฉือฉางเหมยพึมพำ เมื่อได้ข่าวนางก็ตระหนกอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าตระกูลจั่วและฉินจะถึงกับโหดเหี้ยมปานนี้
“ท่านพ่อ เหตุใดสองตระกูลจั่วและฉินถึงระดมคนมามากเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ” นางอดเอ่ยถามไม่ได้
สายตาฉือหลิงเซียวจดจ้องคัมภีร์ในมือแล้วกล่าวว่า “ต้องเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญผู้คนในใต้หล้า หน้าตาของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งจะท้าทายลบหลู่ได้ตามอำเภอใจ”
ฉือฉางเหมยร้องอ้อ แล้วจมสู่ความเงียบงัน
เท่าที่นางรู้ นครต้องห้ามในวันนี้ ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้วนส่งสายสืบออกมาราวกระแสน้ำ ต่างติดตามความปั่นป่วนครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
กระทั่งว่าแม้แต่พวกเขาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลฉือ ซ่ง ฮวา และเซี่ย ก็ล้วนให้ความสนใจทุกอย่างนี้
อย่างไรเสียนครต้องห้ามก็ไม่เคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มานานหลายปี ดุพายุเหิมเกริม ดึงดูดให้ทั้งโลกจับจ้อง
ฝ่ายหนึ่งเป็นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ตระกูลตกต่ำที่ยังเทียบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่างไม่ได้ มีเพียงหลินสวินผู้เดียวที่มีชื่อเสียงน่าตื่นตายิ่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ความสามารถสมชื่อ โดดเด่นเกินใครในรุ่นเดียวกัน มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้า
อีกด้านหนึ่งกลับเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลจั่วและฉิน อำนาจล้นฟ้า มีอิทธิพลทั่วจักรวรรดิ ราวกับยักษ์ใหญ่ที่ยึดครองผืนเมฆาสูงส่ง ยืนหยัดผ่านลมฝนนานปีไม่ล้มลง น่าเกรงขามราวมหาสมุทร
และตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายปะทุขึ้นในนครต้องห้าม นี่ช่างเหมือนแผ่นดินไหวสะเทือนครั้งใหญ่ ไม่ว่าเป็นใคร น่ากลัวจะไม่อาจเพิกเฉยได้แล้ว
“น่าเสียดายนะ เด็กนี่ใจร้อนเกินไป ด้วยความสามารถและพลังของเขา ขอเพียงรอไม่กี่สิบกี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองอำนาจมหาศาลที่สามารถสู้กับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงให้รู้ดำรู้แดงได้อย่างแท้จริงแล้ว”
เท่าที่ฉือฉางเหมยดู การเคลื่อนไหวนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“เมื่อก่อนข้ายังนึกว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่ยิ่งใหญ่หาได้ยากทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้หนึ่งแน่ แต่ดูท่าตอนนี้ ข้อบกพร่องบนตัวเขาชัดเจนเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้อเสีย ‘ก้าวร้าวไม่หวั่นกลัว ใจกล้าบ้าระห่ำ’ ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้!”
นี่ก็คือการรับรู้และประเมินที่นางมีต่อหลินสวิน ข้อดีชัดเจนนัก แต่ข้อเสียก็ร้ายแรงถึงชีวิตอย่างยิ่งเช่นกัน
“คำนวณเวลาดู ความวุ่นวายครั้งนี้ก็ควรจะจบลงแล้ว” ทันใดนั้นฉือหลิงเซียวที่กำลังอ่านคัมภีร์อยู่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าครุ่นคิด
“ท่านพ่อ ท่านว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยรีบร้อนเอ่ยถาม
“หึๆ” ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้มีคำตอบอยู่ในใจก่อนแล้วหรือ นางหนู เจ้าจำไว้นะ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเช่นนี้ไม่อาจลบหลู่ได้ ไม่ว่าใครที่ลบหลู่พวกเขาก็ต้องตาย”
ในใจฉือฉางเหมยบังเกิดความเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเห็นหลินสวินเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด อีกทั้งเป็นคู่แข่งที่นางหวาดหวั่นที่สุด ขนาดตระกูลฉือของพวกนางยังเคยต่อกรกับหลินสวิน แต่ก็ถูกเขาคลี่คลาย รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้
แม้แต่ฉือฉางเฟิงน้องชายของนาง เมื่อคราวงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี ก็เกือบตายด้วยน้ำมือของหลินสวิน
ไม่มีเวลาใดที่นางไม่คิดว่าจะเอาชนะคู่แข่งคนนี้ได้อย่างไร แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ในวันนี้เอง คู่แข่งเช่นนี้จะตายด้วยการสังหารของสองตระกูลจั่วและฉิน
นี่ทำให้นางออกจะผิดหวังและเสียใจ
“น่าเสียดาย จักรวรรดิในหลายปีมานี้ไม่ได้หาปีศาจเช่นนี้ได้ง่ายๆ กลับต้องสิ้นชื่อในวันนี้เสียแล้ว…”
ฉือฉางเหมยทอดถอนใจเบาๆ
“เจ้านี่นะ ไม่เข้าใจอะไรเลย ตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ มีปีศาจไร้เทียมทานมากมายเพียงไหน แต่หลายคนในนั้นต่างอายุสั้น ราวกับดาวตกบนขอบฟ้า แม้เปล่งประกายแต่วูบเดียวก็หายไป”
ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “แต่บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้ มีเพียงพวกเราตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่ดำรงอยู่ยาวนาน ยืนหยัดผ่านลมฝนไม่ล้มลงไปได้! รอภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจว่าปีศาจกับผู้กล้าอะไรนี่ ในสายตาของพวกเราขุมอำนาจตระกูลใหญ่ สุดท้ายก็ไม่มีคุณค่า”
“หลิงเซียว ผู้อาวุโสเรียกพบ รีบมาที่หอบรรพชน!”
ทันใดนั้นเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉือหลิงเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสออกจากการปิดด่านแล้วหรือ มีเรื่องอะไรทำให้ท่านผู้เฒ่าตื่นตระหนก”
“เกี่ยวข้องกับหลินสวิน!”
เมื่อได้ยินคำนี้เขาก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาฉายแววฉงน หรือเด็กนี่จะไม่ตายในความวุ่นวายนี้
ฉือหลิงเซียวไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบร้อนหายตัวไป
เหลือเพียงฉือฉางเหมยยืนตรงนั้นเพียงผู้เดียว ใบหน้างามเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความสงสัยเช่นกัน “เกี่ยวกับหลินสวินหรือ แต่ด้วยเรื่องความเป็นความตายของเขาคนเดียว เหตุใดขนาดผู้อาวุโสยังตระหนกเล่า”
ผู้อาวุโสตระกูลฉือ เป็นคนระดับปูชนียบุคคล ปิดด่านเก็บตัวบำเพ็ญตนมานานเกือบพันปีแล้ว แต่วันนี้กลับเรียกพบคนใหญ่คนโตในตระกูลเพราะหลินสวิน ความนัยในนี้น่าตระหนกเกินไปแล้ว
“รายงาน…!”
ไม่นานนักสายสืบคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลุกลี้ลุกลน เอ่ยอย่างร้อนรนและเร่งรีบว่า “คุณหนู แย่แล้วขอรับ หลินสวินเขา… เขายังไม่ตายขอรับ!”
“อะไรนะ”
ฉือฉางเหมยนิ่งอึ้งอย่างสิ้นเชิงอยู่ตรงนั้น ยังไม่ตายหรือ มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนยังฆ่าเขาไม่ได้หรือ หรือว่ามีคนยื่นมือช่วยชีวิตเขา
ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์