“ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างทารกคนนี้กับทารกคนอื่นๆ คือ เขาเกิดมาพร้อมกับชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่สามารถจัดอยู่ในคุณลักษณะพรสวรรค์ชั้นหนึ่งได้”
“เจ้าก็คงเดาออกว่า ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดนี้เรียกว่าหุบเหวกลืนกิน!”
เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกจากสำนักศึกษามฤคมรกต บนเกี้ยวสมบัติเสียงของจ้าวไท่ไหลทุ้มต่ำและราบเรียบ เล่าถึงเรื่องในอดีต
ข้างๆ กันนั้นมีหลินสวินเงียบฟังอยู่
“การต่อสู้มหามรรคเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่งกว่าเรื่องใดในโลก โดยเฉพาะกับผู้ฝึกปราณ เพื่อความสำเร็จที่สูงกว่าบนเส้นทางมหามรรค แทบจะไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้”
“แต่เดิมอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานอยู่แล้ว พรสวรรค์ ความสามารถ สติปัญญาและคุณสมบัติของเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุด บุคคลระดับเขาแม้แต่ในยุคบรรพกาลก็เรียกได้ว่าหายากมาก สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือผู้คน ไม่เป็นสองรองใคร”
“เพียงแต่เมื่อเทียบกับบุตรเทพและร่างวิญญาณที่ถือกำเนิดตามชะตาฟ้าดิน รวมถึงบรรดาเทวบุตรที่มีที่มาน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เขากลับด้อยกว่าเล็กน้อย”
“ตอนแรกนี่ยังไม่ถือเป็นปัญหาอะไร แต่อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่แสวงหามหามรรคที่สมบูรณ์อย่างที่สุด เขาไม่สามารถทนให้ตัวเองมีจุดบกพร่องแม้แต่เสี้ยวเดียว ดังนั้น…”
หลินสวินที่เงียบมาโดยตลอดพูดขึ้น “ดังนั้นจึงเพ่งเล็งมาที่ข้า”
จ้าวไท่ไหลจ้องหลินสวินครู่หนึ่ง พบว่าอารมณ์และสีหน้าของอีกฝ่ายไร้คลื่นลม จึงค่อยพูดว่า “ไม่ผิด”
“หุบเหวกลืนกิน เป็นคุณลักษณะพรสวรรค์ที่ลึกลับและน่ากลัวมาตั้งแต่บรรพกาล น้อยมากที่มันจะปรากฏ บันทึกและคำอธิบายเกี่ยวกับมันก็มีน้อยมาก แต่ในตำนาน พรสวรรค์เช่นนี้แม้แต่เหล่าเทวบุตรและบุตรเทพแต่กำเนิดก็ล้วนอิจฉา!”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าแฝงความซับซ้อน “สำหรับอวิ๋นชิ่งไป๋ หากสามารถช่วงชิงพรสวรรค์ระดับนี้ไปเป็นของเขาได้ ก็สามารถชดเชยจุดบกพร่องเสี้ยวสุดท้ายในตัวเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย และกลายเป็นมรรคาที่สมบูรณ์แบบขั้นสุดตั้งแต่ที่เคยมีมา”
ดวงตาดำขลับของหลินสวินเย็นชา สีหน้านิ่งสงบจนน่ากลัว กล่าวว่า “เพราะฉะนั้น เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เขาก็สามารถช่วงชิงพรสวรรค์ของคนอื่นมาเป็นของตนได้งั้นหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มเศร้า “นี่ก็คือความน่ากลัวของการต่อสู้มหามรรค ในสถานการณ์ที่ไม่มีความแค้นต่อกัน ด้วยเหตุผลบางอย่างก็อาจจะนำพาหายนะที่คาดไม่ถึงมาได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์ที่เจ้ามีมาตั้งแต่เกิดพลิกฟ้าและหายากเกินไป”
หลินสวินใบหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโส ท่านผิดแล้ว สาเหตุไม่ได้อยู่ที่ว่าข้ามีพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเพียงใด แต่เป็นเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋นั่น! คนคนนี้ทำร้ายข้า ถึงขั้นฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงของข้าเพื่อมหามรรคที่สมบูรณ์แบบ คนสารเลวแบบนี้ ต่อให้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดแห่งมหามรรค ก็เป็นเพียงแค่คนต่ำช้าคนหนึ่งเท่านั้น”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดด้วยใบหน้าที่เผยความเยียบเย็น “สักวัน ข้าจะทำให้เจ้าคนต่ำช้าคนนั้นชดใช้อย่างไม่อาจต้านทานได้!”
เพลิงโกรธและความชิงชังในใจเขากำลังจะสกัดกั้นไม่อยู่แล้ว
เขาเพิ่งรู้ว่า ที่แท้การตายของบิดามารดาและญาติๆ ล้วนมีสาเหตุมาจากตน ทำให้เขายิ่งคับแค้นอวิ๋นชิ่งไป๋!
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว กลับทำเรื่องที่ต่ำช้าและคาวเลือดเช่นนี้ คนแบบนี้ต่อให้โดนพันมีดหมื่นแล่ ทำลายกระดูกบดขยี้เถ้าถ่านก็ยังถือว่าน้อยไป
“หลินสวิน…”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าจริงจัง “เจ้าอย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่เด็ดขาด การกระทำของอวิ๋นชิ่งไป๋อาจจะต่ำทราม แต่เขาในตอนนี้ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลซึ่งโดดเด่นที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณไปแล้ว เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งเท่าที่เคยมีมา ต่ำกว่าราชันระดับสังสารวัฏลงไปไม่มีใครสู้ได้ อีกทั้งเบื้องหลังยังมีสำนักกระบี่เทียมฟ้า…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็ถูกหลินสวินตัดบทเสียก่อน “ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้ารอมานานเพียงนี้แล้ว ก็จะไม่รีบร้อนหรอก จริงสิ พูดถึงเรื่องขององค์ชายเก้าให้ฟังหน่อยเถิด”
หลินสวินเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก
จ้าวไท่ไหลเองก็รู้ แม้ตอนนี้หลินสวินจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจคงกำลังสกัดกั้นความชิงชังและเพลิงโกรธที่สลักลึก
“องค์ชายเก้า…”
จ้าวไท่ไหลยิ้มเยาะตรงมุมปาก “ก็แค่คนน่าสงสารที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็เท่านั้น”
จากนั้นจ้าวไท่ไหลก็เล่าถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่อง
ที่แท้มารดาขององค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินก็คือกุ้ยเฟย[1]คนหนึ่งข้างกายจักรพรรดิ นามว่าเหมิงหรง ชาติกำเนิดของเหมิงหรงคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงบุตรสาวของผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ตอนนั้นที่อวิ๋นชิ่งไป๋รู้เรื่องที่ตระกูลหลินให้กำเนิดทารกซึ่งมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ก็เพราะกุ้ยเฟยคนนี้แจ้งเบาะแส
กว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะรู้เรื่องก็ช้าไปก้าวหนึ่ง อยากจะแก้ไขก็สายไปเสียแล้ว
เพราะเรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิพิโรธอย่างมาก จึงปลดฐานันดรศักดิ์กุ้ยเฟยผู้นี้ ด้วยเหตุผลว่าแอบติดต่อกับบุคคลภายนอก ทำลายขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจักรวรรดิ
ทว่าด้วยอิทธิพลของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จักรพรรดิจึงทำได้แค่นี้ สุดท้ายเหมิงหรงถูกบิดา ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้า พาออกจากจักรวรรดิไปยังดินแดนรกร้างโบราณ
ส่วนองค์ชายเก้าก็ถูกจักรพรรดิทอดทิ้งเพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาสะสมความโกรธอย่างเต็มล้น ลอบติดต่อกับมารดาของเขาเหมิงหรงเรื่อยมา เขาในฐานะองค์ชาย ไม่สามารถต่อสู้กับอำนาจของจักรพรรดิได้ จึงโยนความแค้นทั้งหมดไปที่ตระกูลหลิน
เมื่อหลินสวินรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดวันนี้จู่ๆ จ้าวจิ่งเจินจึงกระโดดออกมาขัดขวาง ไม่ให้ตนกราบอาจารย์เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
“จำได้ว่าครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในนครต้องห้าม ระหว่างทางพบเจอการลอบสังหารใช่ไหม” จู่ๆ จ้าวไท่ไหลก็พูดขึ้น
“ท่านหมายถึงตระกูลฉือหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว”
จ้าวไท่ไหลถอนหายใจเบาๆ “ตระกูลฉือกับตระกูลหลินของพวกเจ้าไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะถูกองค์ชายเก้าล่อลวง”
“องค์ชายที่ถูกทอดทิ้งอย่างเขา จะออกคำสั่งกับตระกูลฉือได้หรือ” หลินสวินไม่เข้าใจ
“หากเพียงแค่เขาย่อมไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่อย่าลืมว่ามารดาขององค์ชายเก้ามาจากดินแดนรกร้างโบราณ ตาของเขายิ่งเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า”
จ้าวไท่ไหลอธิบายอย่างใจเย็น “หลายปีมานี้ คนตระกูลฉือจำนวนไม่น้อยถูกส่งไปฝึกปราณยังสำนักกระบี่เทียมฟ้า เพื่อให้ได้รับการดูแลจากตาขององค์ชายเก้า พวกเขาย่อมต้องทำดีกับองค์ชายเก้า”
“มิน่า…”
หลินสวินเข้าใจอย่างแจ่มเจ้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะจ้าวไท่ไหลเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ เขาคงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า เรื่องนี้จะมีเลศนัยและความลึกลับเช่นนี้ซ่อนอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์