หลินสวินพยักหน้า เขาจากมาครั้งนี้ สมบัติในตัวมีเพียงสองชิ้น คือธนูคันหนึ่งและดาบหักอีกด้าม นอกจากนี้ยังมีห่อสัมภาระใบหนึ่ง
ในห่อสัมภาระบรรจุผลึกวิญญาณระดับสูงมากมาย และโอสถวิญญาณล้ำค่าที่จำเป็นต่อการรักษาเยียวยา
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
สมบัติมีค่าอย่างเจดีย์สมบัติไร้อักษร แหวนประสานมายา น้ำเต้าหลอมวิญญาณที่มีเลือดสีม่วงหยดหนึ่ง รวมทั้งพวกวัตถุดิบวิญญาณมีค่าที่ได้มา ล้วนถูกเก็บไว้ที่ภูเขาชำระจิต
เพราะตามที่จ้าวไท่ไหลบอก สมรภูมิกระหายเลือดตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษมาก สมบัติประเภทเอาไว้เก็บของจะไม่สามารถใช้ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กลางฟ้าดินสมรภูมิกระหายเลือดไม่มีพลังวิญญาณ!
“สมรภูมิกระหายเลือด เป็นแนวหน้าของสงครามการเข่นฆ่าระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นสิ่งกีดขวางสงครามที่ทำให้จักรวรรดิสามารถตั้งอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ปกป้องจักรวรรดิมาหลายพันปี…”
จ้าวไท่ไหลแนะนำสั้นๆ ได้ใจความ
“หลายพันปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นส่วนใหญ่ในค่ายกระหายเลือด ล้วนถูกส่งมาประจำการและต่อสู้ที่สมรภูมิกระหายเลือด”
“นอกจากนี้ กองทัพที่โดดเด่นที่สุดของจักรวรรดิ รวมทั้งผู้แข็งแกร่งมากมาย ต่างก็ประจำการอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี”
“นั่นคือโลกที่สั่นไหว นองเลือด มืดมนและเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า หลายพันปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิถูกฝังอยู่ที่นี่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
“เรียกได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของจักรวรรดิวันนี้ ล้วนแลกมาด้วยชีวิตและเลือดของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้!”
“เพียงแต่… น้อยคนมากที่จะรู้ก็เท่านั้น”
หลินสวินเงียบฟัง อดสะเทือนใจไม่ได้ พอจะเริ่มมองเห็นภาพของสมรภูมิกระหายเลือดในเบื้องต้นแล้ว
“คำพูดไม่อาจบรรยายความโหดร้ายของสมรภูมิกระหายเลือดได้ หลังจากไปถึงที่นั่นเจ้าจะเข้าใจเอง”
“ข้าเพียงอยากให้เจ้าจำไว้ว่า การมีชีวิตรอดก็เท่ากับชัยชนะ! และเพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าอย่างไรอย่ามีความคิดว่าจะโชคดีเด็ดขาด!”
“นี่คือสงครามระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ดำเนินมานานหลายพันปี ความแค้นที่สร้างขึ้นด้วยเลือดและกระดูกไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้นที่จะสามารถคลี่คลายได้!”
“จักรพรรดิผู้สถาปนาจักรวรรดิเคยกล่าวไว้ว่า ในสมรภูมิกระหายเลือด ความเมตตาเพียงเสี้ยวเดียวของเจ้า บางทีอาจจะทำให้จักรวรรดิสูญเสียอาณาเขตฝั่งหนึ่ง!”
“จำไว้ว่าต้องรอด!”
พูดถึงตรงนี้จ้าวไท่ไหลพลันยื่นหนังสือคู่มือหนังสัตว์เล่มหนึ่งให้หลินสวิน “ในนี้เขียนแนะนำเกี่ยวกับสมรภูมิกระหายเลือดไว้ หลังจากไปถึงค่ายสนามรบ ก็จะมีคนมอบหมายภารกิจให้เจ้าเช่นกัน”
หลินสวินรับคู่มือไป แต่ไม่ได้เปิดดูในทันที ถามว่า “คราวนี้ต้องไปนานเท่าไหร่”
“อย่างน้อยสามเดือน อย่างมากครึ่งปี”
จ้าวไท่ไหลพึมพำ “ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจอยากไปดินแดนรกร้างโบราณ หลังจากเจ้ากลับมาคราวนี้ ข้าจะหาช่องทางให้เจ้าไป”
“เจ้ายังไม่หายสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงเลือกเจ้าใช่หรือไม่” จู่ๆ จ้าวไท่ไหลก็ถามขึ้น
หลินสวินพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“ง่ายมาก นี่เป็นการจัดการของจักรพรรดิ เพียงแค่เจ้าสร้างความดีความชอบทางการทหารที่นี่ จักรวรรดิก็จะสามารถให้การคุ้มครองตระกูลหลินของเจ้าในทุกๆ ด้านได้อย่างถูกต้อง”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าจริงจัง “ในอนาคตเจ้าจะไปยังดินแดนรกร้างโบราณ หากภูเขาชำระจิตอยากจะอยู่รอดได้ในระยะยาว ก็จำเป็นต้องมีความคุ้มครองจากจักรวรรดิ หลังจากเจ้าจากไป เจ้าก็คงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับตระกูลหลินอีกกระมัง”
หลินสวินหรี่ตาลงกล่าง “เหตุผลนี้ไม่เลว”
จ้าวไท่ไหลยิ้มมุมปาก “ที่เจ้าเข้าใจยังไม่ลึกซึ้งพอ ความหมายของข้าคือ หากวันหนึ่งแม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิ จะเล่นงานตระกูลหลินของเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น!”
ทันใดนั้นหลินสวินหัวใจสั่นไหว มองตรงไปที่จ้าวไท่ไหล
“นี่คือคำมั่นสัญญาของจักรพรรดิต่อเจ้า!” จ้าวไท่ไหลพูด
“ได้!”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ติดใจอะไรอีกต่อไป
……
เมื่อเดินลงจากเกี้ยวสมบัติ โถงโบราณที่ไม่คุ้นเคยสะท้อนอยู่ในดวงตา
เหนือโถงมีป้ายหนึ่งแขวนอยู่… ‘โถงกระหายเลือด’!
ภายในโถงมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่แผ่กลิ่นอายโบราณตั้งอยู่
หลินสวินตะลึงไปทันที เดินเข้าไปจ้องค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นอย่างละเอียด พักใหญ่จึงพูดว่า “สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาลหรือ”
“ตาถึงจริงๆ!” จ้าวไท่ไหลชื่นชม “สมกับที่เป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ”
หลินสวินอดกลอกตาไม่ได้ “ทุกคนต่างรู้ดีว่ามีเพียงอริยะที่ควบคุมปริศนาแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จึงจะสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ข้ามผ่านความว่างเปล่าได้ จักรวรรดิในตอนนี้น่ากลัวว่าแม้แต่อริยะยังไม่มี บวกกับพลังของค่ายกลนี้ก็เก่าแก่ เกรงว่าใครๆ ก็สามารถดูออกได้”
สายตาของจ้าวไท่ไหลดูแปลกประหลาดเล็กน้อย “ใครบอกว่าในจักรวรรดิไม่มีอริยะ”
หลินสวินอึ้ง “มีหรือ”
จ้าวไท่ไหลส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เจ้าจะปฏิเสธโดยไม่รู้จริงไม่ได้”
ในขณะที่พูดเขาก็โบกมืออย่างเหลืออด “รีบลงมือเถอะ เข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือดก่อนพระอาทิตย์ตกจะปลอดภัยกว่า หากเข้าไปยามวิกาล เจ้าต้องประสบภัยอันตรายแน่!”
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งค่อยพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่อยากให้ช่วงที่ข้าจากไปนี้ เกิดเรื่องเหมือนอย่างช่วงก่อนหน้านี้อีกแล้ว”
เขาพูดถึงตอนที่ตนกลับมาจากทะเลกลืนวิญญาณ แล้วพบว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตประสบวิกฤติ
คำตอบของจ้าวไท่ไหลดุดันมาก “ไม่ต้องเป็นห่วง หากภูเขาชำระจิตเดือดร้อนแม้แต่น้อย ข้าจะไปเคาะประตูตระกูลจั่วและตระกูลฉินด้วยตัวเอง”
หลินสวินอึ้ง ก่อนหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คำตอบที่ไม่ตรงคำถามนี้ทำให้เขาชอบใจมาก
หลินสวินถึงขั้นสามารถจินตนาการได้ว่า ต่อให้บางเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วและตระกูลฉิน ทั้งสองตระกูลก็จำต้องยอมรับ
วู้ม!
หลินสวินแบกดาบหิ้วคันธนูอย่างไม่ลังเล หยิบห่อสัมภาระก้าวขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย จากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับเสียงคำรามกึกก้องครู่หนึ่ง
“เจ้าหนู ต้องเล่นใหญ่หน่อยนะ มิเช่นนั้นค่าอาหารของตาเฒ่าโดดเดี่ยวแห่งเรือนโอบดารานิทราบุหลันคงไม่สามารถคืนได้ง่ายๆ…”
จ้าวไท่ไหลพึมพำ หลังจากนั้นเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว
……
ส่วนลึกของพระราชวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์