หญิงสาวผู้นี้แลดูดุดัน แต่อันที่จริงก็เป็นเพียงคนแข็งนอกอ่อนในคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่… เหตุใดตนถึงกลายเป็นเจ้าหน้ามนไปได้
หลินสวินลูบแก้มของตัวเอง สภาพจิตใจกลับเปลี่ยนเป็นรื่นรมย์อย่างน่าประหลาด
……
แม้ว่าสีท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทุกอณูภายในค่ายหมายเลขเจ็ดกลับเป็นภาพอันยุ่งง่วนทั้งผืน เสียงดังเอ็ดอึงไม่สิ้นสุด
กองกำลังผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิขบวนแล้วขบวนเล่าถูกเรียกระดมพล
พวกเขาขยันขันแข็ง เข้มงวดกวดขัน รวมตัวกันอยู่ในลาน จากนั้นถูกหัวหน้าของตัวเองนำไป โดยสารบนเรือรบหลากรูปแบบของจักรวรรดิ พุ่งทะยานสู่ท้องนภา ออกไปจากค่ายทหารท่ามกลางเสียงอึกทึกบาดหูเป็นระลอก
หลินสวินสัมผัสได้ว่าในบรรดาเรือรบเหล่านั้น มีเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิ เรือบรบอินทรีเหินขนาดกลางของจักรวรรดิ และยังมีเรือรบวีรชนม่วงขนาดเล็กอีกด้วย
พวกมันเหินขึ้นเหนือท้องฟ้า คล้ายแผ่นดินใหญ่ที่ลอยล่องผืนแล้วผืนเล่า ลอยเสียงแผ่วจางจากไปยังสนามรบเวิ้งว้างห่างไกลออกไป ภาพนั้นดูน่าตื่นตา แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาเดียวกัน ในค่ายทหารก็มีผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก เป็นกลุ่มก้อนแน่นขนัด ร้องเรียกพวกพ้อง ควงศาสตราวุธนานาชนิด รอเคลื่อนพลเดินทาง
เมื่อเทียบกับกองทัพทางการแล้ว พวกเขาราวกับกลุ่มพันธมิตรนักล่าขบวนแล้วขบวนเล่า ซึ่งเป็นกำลังรบแบบกองโจร อีกทั้งจุดประสงค์ก็ยังแสนจะเรียบง่าย นั่นคือเพื่อไล่ล่าสังหารศัตรู เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึก ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง
ดังคำกล่าวที่ว่าความมั่งคั่งต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ผู้ที่กล้าวิ่งโร่มาเสี่ยงภัยในสมรภูมิกระหายเลือด ต่างก็เป็นพวกโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบโลหิตกันเกือบทั้งสิ้น ไม่มีบุคคลธรรมดาเลยสักคน
ยิ่งกว่านั้น ผู้ฝึกปราณธรรมดาสามัญแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่รอดในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้
ณ กองพลาธิการ
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับการมอบหมายหน้าที่ของข้าเสียหน่อย”
เมื่อมองเห็นหลูเหวินถิง หลินสวินก็พูดจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ
“เอ่อ…”
หลูเหวินถิงอึ้งงัน เมื่อวานเขายังสงสัยอยู่ ว่าเด็กหนุ่มซึ่งถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดส่งมาคนนี้ มาที่นี่เพราะต้องการทำอะไรกันแน่
กลับคิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่วันนี้หลินสวินกลับเป็นฝ่ายมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“เจ้า… ให้ข้าจัดแจงหน้าที่ให้เจ้า?” หลูเหวินถิงถาม ดูคล้ายว่าไม่อยากเชื่อ
หลินสวินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าดูตรงไปตรงมาและเยือกเย็นอย่างยิ่ง
ทว่าหลูเหวินถิงกลับปวดหัว ในใจยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด จัดแจงหน้าที่ให้เจ้าเด็กคนนี้?
ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้น เช่นนั้นผลที่ตามมาผู้ใดจะรับผิดชอบไหว
แต่หากไม่สนใจเขา ก็จะสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย นั่นก็ไม่เหมาะอีกเช่นกัน
ควรทำอย่างไรดี
หลูเหวินถิงขมวดคิ้วเป็นปมอยู่นาน ท้ายที่สุดก็อดกล่าวไม่ได้ “เอ่อ… คุณชายหลิน ข้าขอถามสักหน่อย ท่านค่อนข้างถนัดอะไร”
หลินสวินกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ไปฆ่าศัตรูในสนามรบ หรือไม่ก็หลอมอาวุธ ได้ทั้งหมด”
“หลอมอาวุธ?”
นัยน์ตาของหลูเหวินถิงแทบจะถลนออกมา เจ้าหนูนี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่าง ถึงได้คิดจะวิ่งแจ้นไปกอบโกยเหรียญกล้าหาญที่ ‘กองยุทโธปกรณ์’?
ในค่ายทหารของสมรภูมิกระหายเลือด นักสลักวิญญาณที่มีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธและซ่อมแซมอาวุธนั้นเนื้อหอมที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากในสนามรบมีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ดังนั้นนักสลักวิญญาณแต่ละคนล้วนมีภารกิจไม่รู้จบในทุกๆ วัน
แน่นอนว่านักสลักวิญญาณนั้นยุ่งตัวเป็นเกลียว เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทว่าในสายตาของคนนอก กลับเป็นภารกิจที่อิ่มหมีพีมันหาที่เปรียบไม่ได้ นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญของกองทัพได้ไม่รู้จบ!
แต่ว่า กองยุทโธปกรณ์เป็นแกนกลางสำคัญแห่งหนึ่งภายในค่าย ในสถานการณ์ทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลใดก็ตามยื่นมือเข้าแทรกแซงสิ่งต่างๆ ทางนั้น
นี่ก็เพื่อรับประกันว่านักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์จะสามารถมีสมาธิกับหลอมอาวุธ เตรียมความพร้อมอย่างครบครันให้แก่ผู้ฝึกปราณที่ออกรบแต่ละคนได้ทันท่วงที
‘ไม่ได้ จะให้เจ้าหนูนี่วิ่งโร่ไปสร้างความปั่นป่วนไม่ได้เด็ดขาด ฐานะของเขาพิเศษ ถ้าหากก่อเรื่องในกองยุทโธปกรณ์ จะต้องก่อกวนลำดับขั้นตอนตามปกติของกองเป็นแน่ แต่ก็ดันตำหนิติติงเขาไม่ได้อีก เป็นแบบนี้สถานการณ์คงเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ…’
หลูเหวินถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และปฏิเสธความคิดที่จะให้หลินสวินไปหาอะไรทำที่กองยุทโธปกรณ์โดยตรง
“ที่กองยุทโธปกรณ์คนเต็มนานแล้ว ตำแหน่งต่างๆ ล้วนอิ่มตัว นี่…” หลูเหวินถิงแสดงท่าทางลำบากใจ
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยจัดหน้าที่สังหารศัตรูให้ข้าก็พอ ข้าจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญจำนวนหนึ่ง” หลินสวินก็ไม่ได้ผิดหวัง ดูเยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด
เห็นว่าหลินสวินว่าง่ายเช่นนี้ หลูเหวินถิงก็ลอบถอนหายใจโล่งอกหนึ่งเฮือก
น่าเสียดาย เขาไม่รู้เลยสักนิด ครั้งนี้เท่ากับว่าเขาปฏิเสธโอกาสทองที่ยากพานพบไปเสียแล้ว!
ควรรู้ว่าหลินสวินเป็นถึงเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ณ ขณะนี้ อีกทั้งยังเคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสะเทือนฟ้าดินอย่าง ‘อาสัญสลาย’ ออกมาได้สำเร็จ
ยิ่งกว่านั้น ‘กระถางสมบัติเก้ามังกร’ ของจ้าวจิ่งเซวียนก็สร้างจากมือหลินสวินเช่นกัน กระทั่งแม้แต่ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ชุดศึกสลักวิญญาณที่ชำรุดซึ่งอยู่ในครอบครองของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ก็ได้รับการซ่อมแซมจากหลินสวินทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นนี้ หากเข้ารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์ของค่ายหมายเลขเจ็ด ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่จะได้รับทั้งหมดจะต้องเหนือจินตนาการเป็นแน่
หลูเหวินถิงล้วนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้
ภายในใจของเขาคิดโดยทันทีว่าหลินสวินก็คือพวก ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางาน’ คนหนึ่ง ถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดโยนมาที่นี่เพื่อ ‘ชุบทอง’
ถ้าหากเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ กลัวแต่ว่าคงนึกเสียใจภายหลังจนไส้พังหมดกระมัง
แน่นอน ไม่รู้ก็มีข้อดีของความไม่รู้เช่นกัน อย่างน้อยหลูเหวินถิงในตอนนี้ก็ดีอกดีใจที่หลินสวินให้ความร่วมมือกับตนยิ่งนัก
ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ต้องปวดหัวอีกครั้ง
สังหารศัตรู?
ส่งเจ้าหนูนี่ไปสนามรบเพื่อเข่นฆ่ากับพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อน หากเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า
อย่าว่าแต่เขาหลูเหวินถิงเลย ต่อให้เป็นแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยผู้ดูแลค่ายหมายเลขเจ็ดเอง ก็กลัวแต่ว่าคงต้องเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะของใต้เท้าราชันกระหายเลือดเป็นแน่!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์