สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้น ต่างเป็นพวกที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากภูเขาดาบทะเลเพลิงกันทั้งสิ้น อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือด สิ่งที่ต้องพึ่งพิงคือความสามารถของตัวเองในการเอาชีวิตรอด ย่อมไม่เกรงกลัวลูกผู้ดีมีเงินอะไรอยู่แล้ว
แน่นอน พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินบุคคลเช่นนี้มากเกินไปเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังต้องพึ่งพาคนมีอำนาจอย่างหลูเหวินถิงเพื่อปากท้องอยู่
ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะหัวเราะครืน แต่ก็ไม่ได้สุมไฟให้โหมกระพือหรือจงใจหาเรื่อง
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้หลินสวินมุ่นคิ้วน้อยๆ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว แต่ต่อให้เข้าใจผิด ถ้อยคำของชายหนุ่มชุดคลุมเงินผู้นั้นก็ยังบาดหูเกินไปอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี
“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องสนใจ”
ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก อาปี้ก็กล่าวอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ชายหนุ่มชุดคลุมเงินอึ้งงันไป “อาปี้ นี่เจ้ามองไม่ออกเชียวหรือ เจ้าหนุ่มนี่เป็นหนอนดูดเลือดตัวหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงได้ผูกมิตรกับคนพรรค์นี้”
“เจ้าว่าใครเป็นหนอนดูดเลือด”
ไม่รู้ว่าหลูเหวินถิงวกกลับมาตอนไหน หน้าตาเย็นเยียบ
“ข้า…” ชายหนุ่มชุดเงินยังคงไม่ลดละ กลับถูกหูทงถลึงตาจ้องปราดหนึ่ง จึงไม่กล้าพูดมากความอีก รีบหุบปากลงอย่างฉุนเฉียว
“เฮอะ!”
หลูเหวินถิงแค่นเสียงเย็นชา คราวนี้จึงเอ่ยคำกับหูทง “จำสิ่งที่เจ้ารับปากไว้ ข้าไม่หวังว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร”
หูทงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าระหว่างพวกเขาสองคนได้บรรลุข้อตกลงบางประการกันแล้ว
“คุณชายหลิน จัดเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณชายราบรื่น กลับคืนมาอย่างสัมฤทธิ์ผล!”
หลูเหวินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดก็จัดแจงเผือกร้อนลวกมือผู้นี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้มีหรือจะไม่ทำให้ภายในใจของหลูเหวินถิงเบิกบาน
“ขอบคุณมาก”
หลินสวินพยักหน้าเปล่งวาจาด้วยท่าทางว่า ในเมื่อมาแล้วก็จะอยู่ที่นี่อย่างสงบ
……
“ออกเดินทาง!”
ตามหลังคำสั่งของหูทง ยานสมบัติบุโรทั่งลำหนึ่งพลันทะยานสู่ท้องนภา บรรทุกหลินสวินและสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราออกไปจากค่าย เหาะเหินมุ่งหน้าไปยังแดนไกล
ยานสมบัติลำนี้ชำรุดทรุดโทรมถึงขีดสุด แต่กลับเสถียรมั่งคงยิ่ง อยู่กลางอากาศเหมือนหนึ่งว่าย่ำบนพื้นที่ราบ ความเร็วนั้นแม้พูดไม่ได้ว่ารวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้อืดอาด
ปฏิบัติการในสมรภูมิกระหายเลือด เวิ้งฟ้าเป็นดั่งเขตต้องห้าม การเหาะเหินอยู่บนนั้น อาจพบเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้
ทว่าขอเพียงแค่เหาะเหินในอากาศระดับต่ำ ก็จะไม่เกิดภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตอะไร
หลินสวินนิ่งเงียบตลอดทาง เขาสามารถรับรู้ได้ว่า นอกจากอาปี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนกีดกันและหมางเมินต่อการเข้าร่วมของตน
สิ่งนี้กลับไม่เป็นไรเลย เหตุผลที่เขายอมมาปฏิบัติภารกิจกับกลุ่มของพวกเขา ก็แค่อยากลองดูเสียหน่อย ว่าในฐานะผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิกระหายเลือด พวกของหูทงจะต่อสู้กันอย่างไรเท่านั้นเอง
ข้อนี้สำคัญยิ่ง!
หลินสวินเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ความรู้ความเข้าใจต่อสมรภูมิกระหายเลือดถือว่ามีเพียงผิวเผิน ส่วนพวกหูทงนั้นต่างเป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ มีจุดที่ควรค่าแก่การศึกษาอยู่มากมาย
ก็เหมือนกับตลอดการเดินทางนี้ หลินสวินค้นพบว่า แม้สมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ดูเหมือนเป็นพวกพยศดุดัน ทว่าอันที่จริงล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างดีกันทั้งสิ้น
บ้างก็กำลังสะกดรอย บ้างก็กำลังตระเตรียมเสบียงก่อนศึก บ้างก็วิเคราะห์แจกแจงรายละเอียดของปฏิบัติการในครั้งนี้
ส่วนหูทงก็กำกับทุกสิ่งทั้งหมดนี้ เหมือนผู้บังคับบัญชาที่ปราดเปรื่องและมั่นคงคนหนึ่ง
ด้วยการพูดคุยจิปาถะของพวกเขา รวมถึงข่าวสารที่รั่วไหลในถ้อยคำโดยไม่ได้ตั้งใจ พาให้หลินสวินพลอยได้ทำความเข้าใจเรื่องราวของสมรภูมิกระหายเลือดไม่มากก็น้อย
นี่ก็คือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง
หลินสวินรู้ดีว่าสิ่งที่ตนต้องการในขณะนี้ก็คือประสบการณ์และเรื่องราวภายในสมรภูมิกระหายเลือด และมีเพียงการสันทัดจัดเจนสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะทำให้ตนรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดได้นานขึ้น
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ นับตั้งแต่เข้าร่วมกองกำลังนี้ ท่าทีของหลิ่วเหวินคนนั้นดูร้ายกาจมากอย่างเห็นได้ชัด
หลิ่วเหวินก็คือชายหนุ่มชุดคลุมเงินคนนั้น เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ อายุยังน้อย หากไปอยู่ในจักรวรรดิ ก็นับได้ว่าเป็นคนโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเขาผ่านการฆ่าฟันในสมรภูมิกระหายเลือด ย่อมไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของเจ้าตัวต่ำไปได้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปเป็นอักโข สิ่งนี้คล้ายจะทำให้เขาหยิ่งลำพองและมั่นใจในตัวเองถึงที่สุด
แม้ว่าหลินสวินจะนิ่งเงียบและทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลิ่วเหวินผู้นี้เหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น
ตลอดทางเขาปลุกปั่นหลินสวินด้วยการเหลือบสายตาดูหมิ่นมาให้เป็นพักๆ
เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่สนใจเขา เขาก็ยังจงใจเอ่ยคำเสียดสีบางส่วน ตัวอย่างเช่น ‘หนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิ’ ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางานที่หวังกอบโกย’ เป็นต้น
ต่อให้หลินสวินอารมณ์เย็นมากเพียงใด สิ่งนี้ก็ยังทำให้เขาอดมุ่นคิ้วไม่ได้ เจ้าหมอนี่เห็นตนเป็นอะไร เป้าของความอัปยศหรือ?
“อย่าสนเขาเลย”
ทันใดนั้นอาปี้ที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยปาก “ขอเพียงเจ้าทนไม่ไหว การยั่วยุของเขาก็ประสบผลสำเร็จแล้ว จากนั้นคงฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้าเต็มเหนี่ยว”
“อาปี้ นี่เจ้ากำลังพูดอะไร เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนเลวไปได้” หลิ่วเหวินค่อนข้างหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้าอยากพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนเลวก็หุบปากของเจ้าเสีย!” อาปี้มองเข้าไปอย่างเย็นชา ไม่เกรงกลัวหลิ่วเหวินสักนิด
“เอาล่ะ ทุกคนต่างถอยคนละก้าว”
สมาชิกคนอื่นๆ เห็นบรรยากาศชักเริ่มตึงก็ทยอยเอ่ยปากเตือนสติ เพียงแต่สายตาที่พวกเขามองไปทางหลินสวินนั้นยิ่งขับไล่ไสส่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนคิดว่าการเข้าร่วมอย่างกะทันหันของหลินสวิน ทำลายบรรยากาศความกลมเกลียวระหว่างพวกเขา
“ไอ้หนู ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่ออยากกอบโกยเหรียญกล้าหาญกับพวกเรา เจ้าก็จงเชื่อฟังพวกข้าหน่อย!”
หลิ่วเหวินหยัดตัวขึ้น นัยน์ตาเจือแววเหยียมหยาม น้ำคำเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการตักเตือนและข่มขู่ กล่าวจบเขาพลันหมุนกายเดินออกไปนอกห้องโดยสาร
“เฮ้อ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าหัวหน้ารับปากให้ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหนคนหนึ่งเข้าร่วมกลุ่มพวกเราได้อย่างไร”
“หวังว่าเขาคงไม่ก่อความวุ่นวายให้พวกเรา ไม่เช่นนั้นปัญหาจะยิ่งใหญ่ขึ้น”
“ปัญหา? เฮอะ ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ วันๆ ไม่รู้ว่ามีลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาอ่าวตายไปตั้งเท่าไร ถ้าหากกล้าก่อความวุ่นวาย จุดจบจะต้องไม่น่าพิสมัยแน่!”
สมาชิกคนอื่นๆ หยัดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินออกจากห้องโดยสารไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ในน้ำเสียงเจือความขับไล่ ชิงชัง และข่มขู่ปะปนกัน เห็นชัดว่าพูดให้หลินสวินฟัง
ไม่นานภายในห้องโดยสารก็เหลือเพียงหลินสวินและอาปี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์