ยานสมบัติโรยตัวลงบนพื้นดิน ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนเดินเรียงแถวออกมา
ในขณะเดียวกัน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนหนึ่งที่ล่ำสันปานภูผาซ่อนยานสมบัติในโกรกธารบริเวณนั้นอย่างคล่องไม้คล่องมือ
ภายในโกรกธารมีโขดหินและซากศพเน่าเปื่อยสะสมอยู่จำนวนมาก ยานสมบัติถูกซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้วเหมือนของเล่นหักพังที่ถูกทิ้งลำหนึ่ง ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
“มุ่งหน้าไปอีกหน่อนยก็ถึงพื้นที่อันตรายแล้ว อาจพบกับกองกำลังที่พวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนส่งออกมา ไม่เหมาะจะโดยสารนั่งยานสมบัติเหาะเหินแล้ว”
อาปี้อธิบายง่ายๆ
หลินสวินมองไปรอบบริเวณ ฟ้าดินมืดครึ้ม ปกคลุมด้วยฝุ่นควัน แทบไม่ต้องจดจ่อก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเหม็นฉุนคาวเลือดที่พัดเข้ามา พาให้ผู้คนกดดัน
แนวเขาเวิ้งว้าง รกร้างวังเวง ทุกหัวระแหงไร้หย่อมหญ้า ผืนดินคละคลุ้งด้วยฝุ่นควัน บนเวิ้งนภามีหมอกฝุ่นหนาแน่น ราวกับดินแดนที่ถูกทิ้งร้างจากสงคราม
ไม่มีการพูดมากความ ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนพลันพุ่งปราดมุ่งหน้าไปตลอดทาง
หลินสวินสังเกตเห็นว่าสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ ต่างก็เปลี่ยนท่าทีเป็นตื่นตัวและระวังระไว แต่ละคนดุจดั่งนักล่าหลักแหลมหฤโหด
บ้างก็สำรวจเส้นทางอยู่เบื้องหน้า บ้างก็สังเกตภูมิประเทศวิเคราะห์เส้นทาง ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ ร่วมมือกันอย่างสมัครสมานถึงที่สุด
แม้แต่หลิ่วเหวินที่เห็นว่าหลินสวินขัดตามาโดยตลอดก็ยังรักษาความนิ่งขรึม มือถือดาบคู่สีชาด ทั่วร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายเคร่งครัด ราวกับธนูที่ขึงตึง พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
“หืม?”
ขณะที่สายตาของหลินสวินสังเกตเห็นอาวุธในมือของอาปี้ ก็อดอึ้งงันไม่ได้
นั่นคือค้อนยักษ์ที่อัปลักษณ์ผิดปกติ มีสีเทาเข้ม รอยสลักวิญญาณหนาแน่นไหววูบอยู่บนนั้น ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นออกมา
ค้อนยักษ์เช่นนี้ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งอย่างอาปี้ถือไว้ในมือราวกับถือเข็มเย็บปัก ให้ความขัดแย้งอย่างรุนแรงแก่ผู้พบเห็น
แต่สิ่งที่หลินสวินให้ความสนใจไม่เรื่องพวกนี้ ในฐานะเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้มีชื่อก้องจักรวรรดิ เขาแทบจะมองออกในแวบแรกว่าค้อนยักษ์ในมืออาปี้ชำรุดเสียหายมานานแล้ว กระบวนรอยสลักวิญญาณแน่นขนัดบนนั้นซีดจางพร่าเลือน พลังอำนาจลดทอนลงอย่างน้อยสี่ส่วน
“เป็นอะไรไป” อาปี้สังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน
“ทำไมไม่เปลี่ยนอาวุธสักอันเล่า” หลินสวินถาม
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พลันมีเสียงเหยียดหยามเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณชายนี่ก็ยังเป็นคุณชายอยู่ดี ไม่รู้ถึงความแร้นแค้นของชาวบ้าน เจ้าคิดว่าอาปี้ไม่อยากเปลี่ยนรึ เจ้าไม่เข้าใจเลยต่างหาก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณอิสระอย่างพวกเราอยากเปลี่ยนอาวุธที่ถนัดมือสักชิ้น ต้องใช้เหรียญกล้าหาญเป็นอักโข ไม่ใช่ว่าใครอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้!”
ผู้พูดคือหยางสยง เป็นสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเช่นเดียวกัน เขามีรูปร่างล่ำสัน ผิวสีทองแดงเข้ม ที่ปลายคิ้วมีรอยดาบพาดลึกรอยหนึ่ง บุคลิกเหมือนอินทรี ดุกร้าวน่าสะพรึง
คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็เหยียดหยามและเยาะหยัน การแสดงออกเช่นนี้ของหลินสวินทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจ ว่านี่คือพวกคุณชายลูกผู้ดีที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม กินดีอยู่ดี ไม่ประสีประสาอะไรเลย
หลินสวินไม่ได้สนใจพวกเขา กล่าวกับอาปี้ว่า “สมบัติชิ้นนี้ของเจ้าใช้งานได้ไม่นานเดี๋ยวก็พังหมดแล้ว ถ้าเจ้าเชื่อข้า รอกลับถึงค่ายข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมมันเอง”
“เจ้า?” อาปี้อึ้งงัน
คนอื่นๆ ได้ยินเข้าก็ไม่อาจหัวเราะเยาะได้แล้ว ทีท่าพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ในตอนนี้พวกเขาตระหนักโดยฉับพลันว่าต่อให้คุณชายหลินคนนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่อาศัยแค่ฐานะของเขา ขอเพียงอ้าปากก็สามารถได้รับการปฏิบัติสุดพิเศษอย่างที่พวกเขาไม่มีทางได้รับ!
เรื่องนี้สามารถดูออกไปจากท่าทีของหลูเหวินถิงแห่งกองพลาธิการ
คุณชายประเภทที่ทำให้หลูเหวินถิงยังต้องดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติเลย ต่อให้ช่วยอาปี้เปลี่ยนสมบัติชิ้นใหม่ สำหรับเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาอะไรสักนิด!
“อาปี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือ คุณชายหลินท่านนี้เอ่ยประโยคเดียว ก็สามารถทำให้นักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์ช่วยเจ้าซ่อมอาวุธในมือได้อย่างสมบูรณ์”
หยางสยงกล่าวเหน็บแนม
คนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอิจฉาและจนปัญญา
ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ช่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลยจริงๆ
คุณชายหลินคนนี้อาจไม่เอาไหน ไม่มีข้อดีสักจุด แต่เจ้าตัวมีฐานะพิเศษ เอ่ยหนึ่งประโยคตามอำเภอใจก็สามารถทำเรื่องที่พวกเขาพยายามสุดแรงเกิดยังทำไม่ได้ให้สำเร็จขึ้นมา
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเศร้าสลดและหดหู่ยิ่งนัก แต่ช่วยไม่ได้ นี่ก็คือสัจธรรม
เพียงแต่พวกเขาเข้าใจผิดแล้ว หลินสวินปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง มีหรือจะต้องให้ผู้อื่นไปช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติ
นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้าตัวเองอยู่หรือ
แต่หลินสวินก็ไม่ได้อธิบาย และเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คนที่กีดกันและตั้งตนเป็นศัตรูพวกนี้ฟังด้วย แบบนั้นต่างอะไรกับการลดเกียรติตัวเอง
ไม่รออาปี้เอ่ยปาก หลิ่วเหวินพลันประชิดเข้ามาทันใด กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ไม่จำเป็น รอกลับไปคราวนี้ ข้าจะช่วยอาปี้แลกอาวุธถมัดมือสักชิ้นเอง ไม่รบกวนคุณชายหลินอย่างเจ้าต้องกังวลใจไปหรอก!”
กล่าวเสร็จเขายังใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องหลินสวิน นี่คือคำเตือนและข่มขู่อันไร้เสียงอย่างหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า หากเจ้ายังกล้ายุ่งกับอาปี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำ
อาปี้กลับมุ่นคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “หลิ่วเหวิน ข้าเคยบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว เรื่องของข้า ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ไม่ต้องให้เจ้าก้าวก่าย!”
ประโยคเดียวทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาของหลิ่วเหวินแดงซ่านขึ้นในบัดดล ดูอักอ่วนเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ภายในใจคุด้วยไฟโกรธ เขาช่วยเหลือด้วยเจตนาดี กลับถูกอาปี้ปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัล แทบจะเชิดหน้าไว้ไม่อยู่ในบัดดล
เพียงแต่เขาไม่กล้าบันดาลโทสะใส่อาปี้ จึงหันไประบายไฟโกรธใส่หลินสวินแทน และยิ่งเกลียดชังหลินสวินขึ้นทุกที
ในมุมมองของเขา ท่าทีที่อาปี้มีต่อตนเปลี่ยนไป ล้วนเป็นเพราะเจ้าหน้ามนลูกผู้ดีไม่เอาไหน ที่พาให้คนชิงชังคนนี้!
หลิ่วเหวินแค่นเสียงเย็นชา หมุนกายจากไป ก่อนจะไปยังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองหวินสวินปราดหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า ‘เจ้าคอยดูเถอะ!’
หลินสวินยิ้มน้อยๆ สีหน้าราบเรียบ เพียงแต่ในนัยน์ตาดำคู่นั้นของเขากลับลุ่มลึกเย็นชา ถูกยั่วยุหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าเขาหลินสวินเป็นมะพลับนิ่มที่บีบกำได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์