ค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณหลอมขึ้นเองกระบวนหนึ่ง รวบรวมพลังรอยสัญลักษณ์สามสิบหกรอยซึ่งเป็นวิชาตกทอดโบราณของเผ่าพ่อมดเถื่อน ใช้เลือดพิสุทธิ์ของเทพเถื่อนเป็นแหล่งพลังงาน เมื่อวางค่ายกลแล้ว ก็สามารถผนึกฟ้าดิน ตัดขาดกับสรรพสิ่งภายนอกได้
นี่เป็นค่ายกลต้องห้ามที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดกระบวนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ครั้งนี้หากไม่ใช่เพื่อขุดเอาสมบัติลี้ลับชิ้นหนึ่งที่นานๆ ทีจะปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเหมืองแร่หุบเขาพยัคฆ์ พวกจวี้สวินก็จะไม่วางค่ายกลนี้ง่ายๆ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราให้โอกาสพวกเขาหนีแล้ว แต่หากพวกเขาติดอยู่ในค่ายกล… เหอะๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโทษว่าโชคของพวกเขาไม่ดีเอง”
จวี้สวินเอ่ยปากอย่างเย็นชา
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นก็เผยยิ้มบางๆ พวกเขาหวาดกลัวธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในมือหลินสวินอย่างหาใดเทียบ หากกักขังพวกหลินสวินให้ตายโดยไม่ลงมือได้ พวกเขาย่อมยินดีถึงที่สุด
“คันธนูนั้น…” มีคนถาม
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นล้วนสายตาวาวโรจน์ สุดท้ายจวี้สวินก็ยื่นคำขาดว่า “ใครชิงไปได้ก็ตกเป็นของผู้นั้น!”
ประโยคเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเหล่านี้ต่างยิ่งอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เพียงแต่ภาพที่พวกเขาคาดคิดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้น
ตู้ม!
ก็เห็นว่าพวกหลินสวินมาถึงหน้าค่ายกลใหญ่ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนที่พวกเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งนั้น ถึงกับถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือเดียวตบให้เป็นโพรงมหึมาโพรงหนึ่งราวเศษกระดาษ พร้อมกับเสียงโครมครามสั่นสะเทือนจนหูแทบดับระลอกหนึ่ง!
พวกจวี้สวินตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา ริมฝีปากล้วนเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง แทบกัดลิ้นของตน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” บางคนคำรามเดือดดาล
“นี่เป็นถึงค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณวางขึ้นเองกับมือ ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับราชันเถื่อนยังทลายได้ยาก ขะ เขาๆ… เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งอย่างเขา เหตุใดถึงทำได้ขนาดนี้”
ทุกคนตื่นตะลึงอ้าปากค้าง แทบจะคิดว่าตาฝาดแล้ว
ยอดฝีมือพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้กันนั้นก็ล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น นั่นเป็นถึงค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนเชียวนะ เหตุใดถึงถูกฝ่ามือเดียวตบจนเป็นรูได้
“ทุกท่าน แล้วพบกันอีกวันหน้า!”
ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ หลินสวินผินหน้ามายิ้มบางๆ และประสานมือคารวะ จากนั้นก็นวยนาดจากไปพร้อมคนอื่นๆ
ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนอะไรกัน แม้รูปแบบพลังจะต่างกับศาสตร์สลักรอยวิญญาณมาก แต่ปริศนาของแก่นแห่งการวางรอยสัญลักษณ์กลับเชื่อมถึงกัน ในสายตาของปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นหลินสวิน ค่ายกลวิญญาณนี้ช่างมีช่องโหว่มากมาย สามารถทำลายได้โดยง่าย
“น่าชังนัก!”
พวกจวี้สวินโมโหจนเส้นเลือดปูดโปน กระโดดเหยงราวถูกสายฟ้าฟาด ความไม่ยินยอมแรงกล้าบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้พวกเขาแทบอยากตามไปฉีกทึ้งหลินสวินทั้งเป็น
เห็นศัตรูจากไปอย่างผ่าเผยกับตา ความรู้สึกเช่นนั้นช่าง…ทรมานนัก!
…….
จนกระทั่งออกจากหุบเขาพยัคฆ์ พวกหูทงยังคงรู้สึกเหม่อลอยตัดขาดจากโลก ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือจริง ไม่สงบใจยิ่ง
ส่วนสายตาที่พวกเขามองหลินสวินกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีความชิงชังดูถูกอย่างแต่ก่อน แต่มีความประหลาดใจและหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นมา
พวกเขาย่อมไม่อาจคาดคิดได้ว่า คุณชายที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนได้
เมื่อนึกถึงท่วงท่าองอาจเหนือโลกา ที่หลินสวินอาศัยเพียงธนูคันเดียวก็สร้างความพรั่นพรึงให้กับทั้งหุบเขาได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาก็จิตใจสั่นระริก เหม่อลอยไม่ว่างเว้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความรับรู้ที่พวกเขามีต่อหลินสวินก่อนหน้านี้ล้วนผิดหมด เจ้าหมอนี่ต่อให้เป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง ก็เป็นลูกผู้ดีที่ครอบครองพลังต่อสู้เย้ยฟ้า ผิดธรรมดาหาใครเปรียบ!
“เจ้า…”
อาปี้ต้องการจะพูดแต่ก็หยุดปากหลายรอบ ในที่สุดเมื่อรวบรวมความกล้ามากพอจะเอ่ยปาก กลับเห็นว่าไม่เหมาะสม แล้วพลันเงียบลง
เห็นได้ชัดว่านางเรียกหลินสวินว่า ‘เจ้าหน้ามน’ อย่างหยอกเย้าเหมือนแต่ก่อนได้ยากแล้ว
หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เวลานี้เขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนยามเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่หุบเขาพยัคฆ์ กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าออกจะกังวลใจ นำทุกคนวิ่งทะยานออกไปไม่ได้หยุดพักตลอดทาง
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าพวกนั้นต้องไม่ยอมรามือแน่ ใช้เวลาไม่นานเกรงว่าจะตามมาไล่ฆ่า” หลินสวินเอ่ยปากในทันใด
พวกหูทงอึ้งไป ทันใดนั้นทั้งร่างก็หวาดหวั่น สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
“ไม่ผิด พวกเขาเสียหายขนาดนี้ มีหรือจะกล้ำกลืนความโกรธลงได้ อีกทั้งที่พวกเขารวมตัวในหุบเขาพยัคฆ์ ก็เพื่อขุดเอาสมบัติบางอย่างภายในนั้น ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกเราแพร่งพรายข่าวออกไป”
หูทงสูดหายใจลึก วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น “หากข้าคาดไม่ผิด ในเมื่อพวกเขารวมตัวอยู่ที่หุบเขาพยัคฆ์โดยมีกำลังพลพร้อมสรรพแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว เบื้องหลังพวกเขาต้องมีกำลังกองหนุนอยู่แน่! เพื่อฆ่าปิดปาก พวกเขาต้องเรียกรวมไพร่พลมาตามฆ่าพวกเรา”
หูทงเป็นคนที่กรำศึกในสมรภูมิกระหายเลือดนานปี ประสบการณ์มากมายเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อาจเทียบได้ จากการวิเคราะห์ครั้งนี้ของเขา ก็ดูออกถึงความคิดสุขุมรอบคอบของเจ้าตัวได้
คนอื่นๆ ก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
ที่นี่อยู่ห่างไกลจากค่ายนัก ไม่อาจกลับไปได้ในเวลาอันสั้น หากถูกผู้แข็งแกร่งอย่างสวะพ่อมดเถื่อนตามฆ่า เช่นนั้นผลลัพธ์ก็รุนแรงเกินไป
หูทงนิ่วหน้าทอดถอนใจ “ปัญหาใหญ่เกินไป หุบเขาพยัคฆ์รัศมีราวพันลี้ ไม่มีที่ที่อย่างปลอดภัยเลยสักที่ นอกจากพวกเราจะสามารถพุ่งออกจากอาณาเขตนี้ในเวลาสั้นๆ หาไม่แล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ แต่ความนัยนั้นเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว
ทันใดนั้นจิตใจที่ยินดีปรีดาอยู่แต่เดิมของทุกคนก็เจื่อนลงอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอีกครั้ง
“ทำอย่างไรดี”
พวกเขาจิตใจสับสนยุ่งเหยิง
แม้กล่าวว่ากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราผ่านศึกนองเลือดมากมายในสมรภูมิกระหายเลือด แต่นั่นก็เป็นศึกขนาดเล็ก ไม่อาจเทียบได้กับการประจันหน้าที่อันตรายตรงหน้าครั้งนี้
กระทั่งว่า พวกเขาถึงขั้นสงสัยว่ามีเพียงการเคลื่อนกองทัพผู้ฝึกปราณทางการของจักรวรรดิมา จึงอาจจะต้านทานสวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“พวกเจ้าไปก่อน ข้าไปถ่วงพวกมันไว้”
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากในทันใด ประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนพากันตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์