ตอนนั้นยามเขาดึงสายธนูของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุด รู้สึกได้อย่างฉับไวถึงพลังที่ต่างจากเมื่อก่อน
คันธนูใหญ่ทั้งคันส่งเสียงประหลาดดั่งเทพมารคำรามเดือดดาล สายฟ้าวายุสะเทือนเลือนลั่น สั่นสะท้านไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
นอกจากนี้ รอบตัวคันธนูที่หลอมขึ้นจากกระดูกขาวก็ปรากฏภาพยิ่งใหญ่น่าหวาดหวั่น ที่ดวงอาทิตย์ลับฟ้าคราม กาทองเลือดสาดกระเซ็นบนทะเลสีหยก
ไม่ใช่!
คิดถึงตรงนี้ หลินสวินสังเกตได้ในทันใดว่าตนละเลยรายละเอียดไปอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือขณะที่ตนง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง มีเงามายาสูงใหญ่และโอหังเงาหนึ่งง้างคันธนูยิงศรออกไปเหมือนกับตน ราวกับเทพธนูบรรพกาลปรากฏตัว!
‘ตอนนั้น… เหมือนมีเสียงก้องประหลาดเสียงหนึ่งมาๆ หายๆ ดูเหมือนไม่มีอยู่ แต่หากรับรู้โดยละเอียดแล้ว กลับคล้ายดังออกมาจากภายในถ้ำเหมืองที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั้น…’
ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดแววเฉียบคม
‘ดูท่าจะเป็นดังคาด สมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ที่โผล่ขึ้นมาในหุบเขาพยัคฆ์นั้น ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกับธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็ต้องมีพลังอัศจรรย์บางอย่าง ถึงได้ทำให้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเปลี่ยนแปลงไป…’
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาตัดสินใจจะระวังหลังอยู่คนเดียว ไปถ่วงรั้งกำลังพลที่อาจตามมาสังหารของเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้น จริงอยู่ว่ามีความคิดจะช่วยพวกหูทงคลี่คลายเคราะห์ภัย
แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าก็คือ เขาต้องการจะกลับไปดูที่หุบเขาพยัคฆ์อีกครั้ง!
และทั้งหมดนี้ ก็เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงอันลึกลับของธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างแยกไม่ออก
‘ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่สามารถดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทมากมายขนาดนั้นมารวมตัวกันได้ สมบัติที่ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั่นต้องไม่ธรรมดาแน่!’
เวลานี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดที่โหดเหี้ยมและเหือดแห้งนี้ ยังเก็บซ่อนความลับที่ไม่อาจคาดเดาได้อยู่มากมาย
ก็เหมือนหุบเขาพยัคฆ์นั้น ใครจะจินตนาการได้ว่า ที่นั่นนอกจากอุดมไปด้วยสินแร่หายากอย่างเหล็กดาราจรัสสลายแล้ว ยังมีสมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้และลึกลับบางอย่างถือกำเนิดอีกด้วย
‘ดินแดนแห่งนี้พลังวิญญาณแห้งแล้ง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ภายใต้เปลือกนอกที่เลวร้ายราวดินแดนที่ถูกปล่อยร้างเช่นนี้ จะยังแอบซ่อนความลับที่ไม่อาจรับรู้ไว้มากมายหรือไม่’
…….
ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา
สวบ!
บนพื้นดินไกลออกไปมีเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วถึงที่สุด ประหนึ่งแสงทองแสบตาสายหนึ่งวูบไหวกลางห้วงอากาศ
“หืม”
ไกลออกไปราวพันจั้ง เงาร่างนี้ก็หยุดเท้าลงทันใด ด้วยสังเกตเห็นหลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิบนยอดเขาสูงร้างแห่งหนึ่งไกลออกไป
ที่จริงก็พบได้โดยง่าย เพราะเขาไม่ได้ซ่อนตัวเลย
“นี่เจ้า… ไม่ได้หนีหรือ”
เงาร่างนั้นประหลาดใจ ทั้งร่างเขามีสีทองเจิดจ้า ขนาดเส้นผมยังมีลักษณะดั่งทอง ผิวพรรณดุจหล่อด้วยทองคำ มีท่าทางน่ากลัวดุดันฉกาจฉกรรจ์
คนผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทผู้หนึ่งที่เคยล้อมหลินสวินในหุบเขาพยัคฆ์ มาจากสายคนเถื่อนทองคำ มีนามว่าจินอู้
“รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเจ้าไม่ยอม เลยมารอที่นี่”
หลินสวินลุกขึ้น สีหน้าเหนื่อยอ่อนเลือนหายไปนานแล้ว ถูกเติมเต็มด้วยท่าทางโอหังและเยียบเย็น
เขาเอามือไพล่หลังยืนตระหง่านบนยอดเขาสูง อาภรณ์ปลิวไสว ดวงตามองหยันลงมาดุจสายฟ้าแปลบปลาบ ท่วงท่าเลิศล้ำเหนือโลกา
“งั้นหรือ แต่ทำไมข้ารู้สึกว่า เจ้ายืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงได้จำเป็นต้องหยุด” จินอู้หนังตากระตุก ใบหน้าเผยให้เห็นความสงสัย สายตาเขากวาดไปโดยรอบเหมือนต้องการมองบางอย่าง
หลินสวินแสยะยิ้ม “วางใจเถอะ พื้นที่รัศมีร้อยลี้นี้มีแต่ข้าเพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้น จะต่อกรกับเดรัจฉานเฒ่าแบบเจ้า ยังต้องหาผู้ช่วยอีกหรือ”
เดรัจฉานเฒ่า!
เมื่อได้ยินคำเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังนี้ จินอู้สีหน้าถมึงทึงโดยพลัน โกรธจนตาถลน เจ้าสวะตัวจ้อยนี่คิดว่าตัวมีที่พึ่งเลยไม่หวั่นเกรงเสียจริงนะ!
ทว่าเมื่อนึกถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ที่หลินสวินสำแดงในหุบเขาพยัคฆ์ จิตใจเขาก็สั่นระรัวอีกระลอก หวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด
“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้าบ้าระห่ำเกินไปแล้ว อย่านึกว่าครอบครองธนูที่ทรงพลังคันหนึ่งก็จะไม่เห็นผู้ใดในสายตาได้ ข้ากล้าบอกเจ้าเลยว่า ในตอนนี้ยอดฝีมือมากมายจากเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้าได้ยินข่าวกันหมดแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พรรคพวกเหล่านั้นของเจ้า วันนี้ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก!”
จินอู้สีหน้าอึมครึม น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ “แน่นอนว่าหากเจ้าฉลาดอยู่บ้าง ข้าอาจจะชี้ทางรอดให้เจ้าได้ ก็ดูว่าเจ้าจะร่วมมือหรือไม่แล้ว”
“อ้อ” หลินสวินเลิกคิ้ว “ร่วมมืออย่างไร”
“ง่ายมาก ส่งธนูในมือเจ้าคันนั้นมาให้ข้า ข้าก็จะหันกายจากไปทันที ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้า” จินอู้เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ปกปิดความละโมบของตนที่อยากได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเลยสักนิด
“เหอะๆ” หลินสวินหัวเราะ
“เจ้าหัวเราะอะไร ความตายมาเยือนแล้ว ให้โอกาสเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังรู้สึกว่าน่าขันมากหรือ”
จินอู้สีหน้ายิ่งอึมครึมอย่างยิ่งยวด ตะคอกเสียงดุดันว่า “ถ้าเจ้าไม่รับปากก็ย่อมได้ แต่ว่า วันนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีกแล้ว!”
กึด!
หลินสวินง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารทันควัน ดึงสายธนูจนตึง เล็งเป้าไปทางจินอู้จากจุดที่อยู่สูงกว่า “เดรัจฉานเฒ่าตัวหนึ่งอย่างเจ้ายังกล้ามาข่มขู่ข้าหรือ”
ในชั่วเสี้ยวพริบตา จินอู้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่สนใจจะมาถือสาหาความคำด่าทอเหยียดหยามของหลินสวิน ตกใจจนเงาร่างหายวับแล้วถอยหลังหนีออกไปไกล
คันธนูนี้น่ากลัวเกินไป เคยทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนอย่างเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิงบาดเจ็บสาหัส ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารียังถูกฆ่าในทันใด
ในสถานการณ์เช่นนี้ จินอู้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ก่อนแล้ว ไม่กล้ารับประกันได้ว่าตนจะตั้งรับลูกธนูของหลินสวินได้ ดังนั้นเขาจึงถอยอย่างไม่ลังเลสักนิด
“เหอะๆ”
หลินสวินหัวเราะเหยียดหยามอีกครั้ง ฟังดูระคายหูนัก ทำให้จินอู้โกรธจนหน้าเขียว แทบอยากจะเอาหลินสวินมาเถือหนังทั้งเป็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์