หลิ่วเหวินประหนึ่งถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไปทั้งตัว คิดไม่ถึงสักนิดว่าเพิ่งหนีออกจากป่าต้นหม่อนแดนผีสิงนั่นมา ดันมาเจอกับหลินสือเอ้อร์กะทันหัน
“นายน้อยระวัง!”
หลิ่วเหวินคำราม ในเวลาเช่นนี้ปฏิกิริยาแรกของเขากลับเป็นการเตือนอิ๋งเชวี่ย ไม่อาจไม่พูดถึง เจ้าหมอนี่ช่างมีศักยภาพของผู้ทรยศจริงๆ
ฟุ่บ!
แต่ยามเสียงหลิ่วเหวินเพิ่งดังขึ้น เขาก็เห็นว่าลำคออิ๋งเชวี่ยที่อยู่ข้างกายพลันมีรูโหว่ชุ่มเลือดเพิ่มขึ้นมารูหนึ่ง
เห็นชัดว่าอิ๋งเชวี่ยหาได้ป้องกันแม้แต่น้อย สีหน้าเขายังคงตื่นตระหนก กระทั่งใกล้ตายแล้วยังไม่อาจจินตนาการว่าตนจะประสบเคราะห์กะทันหันเช่นนี้
เขาคือราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดเชียวนะ!
เป็นมือสังหารโดยกำเนิด ก้าวเดินในเงามืด ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี
แต่ตอนนี้ เขากลับถูกคนจู่โจมสังหารภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันสังเกตเห็นโดยสมบูรณ์…
พรวด!
โลหิตแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกจากลำคออิ๋งเชวี่ย สาดพรมทั่วหน้าหลิ่วเหวิน ชวนตระหนกจนเขาเปล่งเสียงหวีดร้อง ขวัญหนีดีฝ่ออย่างอดไม่อยู่
ตายแล้ว?
หลิ่วเหวินรู้สึกแย่ไปทั้งตัว ในใจถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ
อิ๋งเชวี่ย นี่น่ะเป็นถึงนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด เป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งค่ายทัพพ่อมดเถื่อน ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายตั้งความหวัง คิดว่าจากนี้เขามีความโอกาสสูงยิ่งที่จะกลายเป็นจักรพรรดิเถื่อนผู้ก้าวสู่มกุฎมรรคา!
แต่ตอนนี้อิ๋งเชวี่ยกลับตายแล้ว…
หลิ่วเหวินไม่ได้โศกเศร้าเพื่ออีกฝ่าย แต่การทรยศของเขาครานี้นำความหวังทั้งหมดฝากไว้กับตัวอิ๋งเชวี่ย ยังมุ่งหวังว่าจากนี้สามารถอาศัยความชอบจากอิ๋งเชวี่ยก้าวย่างอย่างมั่นคงในเผ่าพ่อมดเถื่อน
แต่ตอนนี้ ความหวังทุกอย่างล้วนดับสลายแล้ว!
หลิ่วเหวินรู้สึกราวฟ้าจะถล่ม ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นด้วยหวาดผวาและงุนงง
ริมหูยินเสียงโรมรันดุเดือด เสียงร้องทุรนทุรายโหยหวน เสียงปะทะของพลังอันน่าหวาดกลัว…
แต่หลิ่วเหวินกลับประหนึ่งตกตะลึงขวัญหาย ความหวังของเขาจบสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ทรยศ เขาไม่อาจหวนคืนค่ายจักรวรรดิได้อีก
และหลังจากการตายของอิ๋งเชวี่ย ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่นก็จะไม่มีที่ของเขาอีก หลิ่วเหวินสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังเหลือจะเอ่ยอย่างหนึ่ง
“เป็นเจ้าจัดการตัว หรือจะให้ข้าลงมือ?”
น้ำเสียงหลินสวินดังขึ้นริมหูราวฟ้า ร้องกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาหลิ่วเหวินสะดุ้งตื่นจากความสิ้นหวังไร้สิ้นสุดในฉับพลัน
เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าบนพื้นทั่วทิศเต็มไปด้วยซากศพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ส่วนหลินสือเอ้อร์ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น มองมาที่ตนอย่างเงียบๆ
ไกลออกไปอีก ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนหนึ่งกำลังรุมล้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบ แต่ละคนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความสบประมาทและรังเกียจ
จบสิ้นแล้ว!
ฟางเส้นสุดท้ายภายในใจหลิ่วเหวินขาดสิ้น หัวสมองพลันว่างเปล่า
“ข้าแค้นนัก! หากไม่ใช่เจ้าหลินสือเอ้อร์ ข้าไหนเลยจะทรยศจักรวรรดิ ไหนเลยจะตกต่ำถึงทุกวันนี้”
หลิ่วเหวินราวเสียสติโดยสมบูรณ์ สีหน้าบิดเบี้ยวตะโกนลั่น
นัยน์ตาเขาคั่งโลหิตจ้องมองหลินสวินอย่างเหี้ยมเกรียม แทบอยากจะกลืนกินทั้งเป็น “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! เป็นความผิดของเจ้า…!”
ระหว่างคำราม เขาก็ถือดาบศึกพุ่งเข้ามา
ฉึบ!
ไม่รอให้เข้าประชิด ลำคอหลิ่วเหวินก็ถูกดาบหักตัดขาด ศีรษะชโลมเลือดกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า กระทั่งก่อนตายเขาก็ยังมีท่าทางเหี้ยมโหดผูกพยาบาท
หลินสวินหมุนตัวจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
คนอย่างหลิ่วเหวิน ต่อให้ตายก็ไม่สำนึกเสียใจสักนิด กลับนำความผิดทั้งหมดมาโทษใส่เขา ตายไปก็ไม่น่าเสียดายสักนิด
ก่อนจะจากไป หลินสวินมองกลับมายังป่าต้นหม่อนซึ่งอยู่เบื้องหลังวูบหนึ่ง ที่นั่นหมอกโลหิตแผ่กว้าง เร้นลับไม่อาจรับรู้
แต่หลินสวินแน่ใจว่าส่วนลึกสุดของป่าต้นหม่อนนั่น มีพายุคาวเลือดหนึ่งกำลังเปิดฉาก โอบล้อมตำหนักมรรคปริศนาซึ่งปรากฏออกมา
‘ที่นี่มีอริยะจำศีล ซ่อนความลับมากเหลือเกิน สักวันหนึ่งอาจได้หวนกลับมาเสาะหาอีกครั้ง!’
หลินสวินนึกถึงจักจั่นทองที่เคร่งขรึมมีสง่าตัวนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงความฝันที่แทบจะเหมือนไร้สาระเต็มกลืนของมัน…
ฝันว่าสักวันหนึ่ง สรรพชีวิตทั้งมวลบนโลกนี้ล้วนสามารถกลายเป็นอริยะ!
…
ยามสายัณห์วันนี้ก่อนรัตติกาลมาเยือน ในที่สุดหลินสวินก็กลับสู่ค่ายหมายเลขเจ็ด
“เจ้าหนูอย่างเจ้ายังไม่ตายรึ”
เมื่อทราบข่าว หลูเหวินถิงราวกระต่ายเฒ่าผุดกระโดดหน้าตาตื่น
หลายวันนี้ของเขาแทบจะผ่านไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน วิตกหวาดกลัว เกรงแต่จะได้ยินข่าวร้ายบางอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม
แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายกลับมาอย่างปลอดภัย พาให้เขาเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย
จากนั้นหลูเหวินถิงก็เริ่มตำหนิและพร่ำบ่น “คนอย่างเจ้านี่ช่างดื้อรั้นซะจริง บอกจะไปก็ไป เจ้าไม่รู้รึว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เจ้ารู้ไหมหากเจ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด เจ้ารู้ไหมว่า…”
หลินสวินมึนงงไปชั่วขณะ ขณะกำลังหาโอกาสกลับห้องตนเอง เสียงตวาดสนั่นหวั่นไหวดั่งอสนีบาตหนึ่งก็ดังก้องขึ้น…
“เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้ากลับมาอีก!”
แม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยเองก็ปรากฏตัวหลังทราบข่าวแล้ว สีหน้าเดือดดาล มาถึงก็ดุว่ายกหนึ่ง เสียงพูดดังจนได้ยินไปทั้งค่าย
หลินสวินรู้ว่าการเคลื่อนไหวครานี้ของตนทำพวกเขากังวลยิ่ง รู้ตัวว่ามีเหตุผลให้โดนดุแล้ว จึงได้แต่ยืนรับการอบรมอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง
นี่หากให้ยอดบุคคลในป่าต้นหม่อนพวกนั้นเห็นเข้าคงตกใจจนกรามค้าง ใครจะกล้าคิด หลินสือเอ้อร์ที่กร้าวแกร่งดุจเทพมารหนุ่มถึงกับมีช่วงเชื่องเชื่อว่านอนสอนง่ายเช่นนี้?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์