ตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดจวบจนปัจจุบัน หลินสวินคบหาสหายจำกัดแค่ไม่กี่คน หูทงก็คือหนึ่งในนั้น
การหายไปของเขาทำให้หลินสวินไม่มีอารมณ์พบปะสังสรรค์
“เขาปฏิบัติภารกิจอะไร” หลินสวินกล่าวถาม
อาปี้ชะงักงัน ไม่ช้านัยน์ตาพลันส่องประกาย บนหน้างดงามเจือความหวังเสี้ยวหนึ่ง “เจ้าจะไปช่วยหัวหน้ารึ”
หลินสวินพยักหน้า “รุ่งเช้าพรุ่งนี้ออกเดินทาง”
ทันใดนั้นเบ้าตาอาปี้พลันแดงก่ำ กอดหลินสวินแน่น “เจ้า… เจ้าต้องพาหัวหน้ากลับมานะ ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว…”
หลินสวินตบบ่าอาปี้ หาได้พูดมากความ
ไม่ว่าหูทงจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าจ่างซุนเลี่ยและหลูเหวินถิงเห็นด้วยหรือไม่ เขาต้องไปดูด้วยตาตนเอง!
กลางดึก เมื่อหลินสวินกลับห้องพลันค้นพบว่าเหยียนเฟิงรอคอยอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่ากำลังรอตน
“สหายข้าคนหนึ่งเพิ่งกลับจากสมรภูมิกระหายเลือด ได้ยินข่าวมุ่งร้ายเจ้าบางอย่าง ว่ากันว่าสายคนเถื่อนมืดจะส่งราชันที่แท้จริงมาบุกโจมตีค่ายหมายเลขเจ็ด จุดประสงค์เพื่อสังหารเจ้า!”
เมื่อเห็นหลินสวิน เหยียนเฟิงเข้าประเด็นทันที กล่าวเตือนหลินสวินด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่าให้เขาระวังหน่อย
หลินสวินครัดเคร่งอยู่ในใจ กระทั่งเหยียนเฟิงจากไปเขาก็คิดมาโดยตลอด ว่าสายคนเถื่อนมืดจะให้ราชันเคลื่อนไหวเพื่อมาฆ่าตนจริงหรือ
นี่เหมือนกับว่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้างกระมัง
แต่หลินสวินกลับไม่อาจไม่พิจารณาถึงผลที่ตามมาหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
‘ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าไปสืบข่าวด้วยตัวเองแล้วกัน…’
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินแบกห่อสัมภาระไปจากค่ายหมายเลขเจ็ดอย่างเงียบเชียบ ไม่ทำให้ผู้ใดตกใจตื่น
พร้อมกันนั้น หลินสวินก็หมายสืบเสาะข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับสายคนเถื่อนมืดด้วย
…
วันเดียวกับที่หลินสวินจากไป สายสืบคนหนึ่งซึ่งกลับมาจากสมรภูมิแนวหน้านำข่าวชวนตระหนกหนึ่งกลับมาด้วย
“ท่านแม่ทัพ ได้รับการยืนยันแล้วว่า ‘ราชันวิญญาณเร้น’ แห่งสายคนเถื่อนมืด และ ‘ราชันวิญญาณเขียว’ แห่งสายคนเถื่อนพฤกษา จะร่วมมือกันนำทัพใหญ่บุกโจมตียึดครองค่ายหมายเลขเจ็ดของเรา!”
สายสืบพูดกล่าวอย่างไวว่อง
นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยพลันหดรัดตัว หมายจะซัดฝ่ามือใส่โต๊ะ แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ เขาสูดหายใจลึกพลางกล่าว “นี่พวกมันคิดเปิดฉากสงครามรอบด้านหรือ”
“ไม่ขอรับ จุดมุ่งหมายครานี้ของพวกมันมีเพียงหนึ่งเดียว สังหารคุณชายหลินสือเอ้อร์!”
สายสืบมอบคำตอบเหนือความคาดหมาย ทำเอาจ่างซุนเลี่ยอดชะงักงันไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเปรียบโดยพลัน “ระดมไพร่พลเช่นนี้เพื่อจัดการเด็กหนุ่มของจักรวรรดิข้าคนเดียว? ช่างเสียสติซะจริง!”
“ท่านแม่ทัพ…”
สายสืบลังเลอยู่บ้าง
“มีอะไรก็ว่ามา! อ้ำๆอึ้งๆ ทำอะไร”
จ่างซุนเลี่ยตวาดลั่น
“สาเหตุที่พวกเขาระดมกำลังครานี้ หนึ่งเพราะผลกระทบจากคุณชายหลินมากเกินไป วันนี้บนหมายจับกระดานโลหิตที่พวกเผ่าพ่อมดเถื่อนประกาศ ได้ขยับอันดับคุณชายหลิน จากเดิมอันดับสิบแปดขึ้นเป็นอันดับเก้า!”
“อีกทั้งนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยก็ตายในเงื้อมมือคุณชายหลิน ฐานะของอิ๋งเชวี่ยไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง การตายของเขายั่วโทสะทั้งสายคนเถื่อนมืดโดยสมบูรณ์ ราชันวิญญาณเร้นนั่นยิ่งกล่าววาจารุนแรง บอกว่าหากพวกเรามอบตัวคุณชายหลินมาให้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะไม่มารุกราน ไม่เช่นนั้น…”
“ไม่เช่นนั้นอะไร” จ่างซุนเลี่ยสีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จะขยี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของเราให้บี้แบน!”
โครม!
จ่างซุนเลี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ซัดฝ่ามือลงโต๊ะทำงานเบื้องหน้าจนแหลกละเอียด
เขาพลันผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววยะเยือกชวนตระหนกหาใดเปรียบ “พูดจาใหญ่โตนักนะ เห็นข้าจ่างซุนเลี่ยกินเจรึ หากแม้แต่เด็กหนุ่มคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของข้าคงเปล่าประโยชน์!”
สายสืบใจสะท้าน รู้ว่าจ่างซุนเลี่ยบังเกิดโทสะอย่างแท้จริงแล้ว
“พวกเฒ่าสวะพ่อมดเถื่อนนั่นจะมารนหาที่ตายเมื่อไหร่” จ่างซุนเลี่ยถาม
“หลังจจากนี้สามวันขอรับ”
สายสืบรีบร้อนกล่าวตอบ
วันนี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิระมัดระวังรอบด้าน ไม่ว่าทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือผู้ฝึกปราณอิสระซึ่งกระจายอยู่ทั่วค่ายต่างทราบข่าว สามวันหลังจากนี้ ทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนซึ่งนำโดยราชันวิญญาณเร้นและราชันวิญญาณเขียวจะมารุกราน!
ชั่วขณะนั้นผู้ฝึกปราณทั้งหลายในใจต่างตึงเครียด ตื่นตะลึงด้วยเหตุนี้
และเมื่อทราบว่าศัตรูกรีธาทัพใหญ่โตเช่นนี้เพียงเพื่อฆ่าหลินสวินคนเดียว ผู้ฝึกปราณทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ต่างอึ้งงัน
ศัตรูเสียสติไปแล้วรึ
ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิยืนตระหง่านกลางสมรภูมิกระหายเลือดมาหลายพันปี ผ่านการเคี่ยวกรำจากไฟสงครามมาจนปัจจุบัน ล้วนไม่เคยถูกตีแตกมาก่อน
ตอนนี้ราชันพ่อมดเถื่อนสองคนกลับประกาศศักดา ว่าหากไม่ส่งมอบตัวหลินสวินไปให้ จะเหยียบย่ำค่ายหมายเลขเจ็ดให้บี้แบน นี่จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร
ทันใดนั้นบรรยากาศในค่ายหมายเลขเจ็ดพลันตึงเครียดขุ่นมัว ราวลมมรสุมกำลังมา
ไม่ถึงขั้นทุกคนรู้สึกอันตราย แต่หากไม่ประหม่าและกังวลนั่นก็คงหลอกลวงเกินไป อย่างไรเสียค่ายหมายเลขเจ็ดก็มีแค่จ่างซุนเลี่ยเป็นราชันคนเดียวคอยบัญชาการ แต่ครานี้ศัตรูกลับมีระดับราชันถึงสองคน!
อีกทั้งราชันวิญญาณเร้นหนึ่งในนั้น ยังเป็นราชันซึ่งเป็นมือสังหารชั้นเอกอุแห่งสายคนเถื่อนมืด ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเขาเพียงพอให้ผู้คนถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ประหม่ากลัดกลุ้ม
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ค่ายหมายเลขเจ็ดคงได้เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุแน่ ทันทีที่การต่อสู้ระดับนี้ปะทุขึ้น ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงหาใดเปรียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์