ฉัวะ!
แสงหิมะจ้าโฉบออกมา ลากหางประกายดาราเจิดจรัส ฟันลงบนยอดเขาหนึ่งไม่ไกลโดยพลัน
ตูม!
ดุจดาบหั่นเต้าหู้ ยอดเขาถูกผ่าเป็นสองซีกอย่างง่ายดาย หน้าตัดราบเรียบ
นี่ยังไม่จบสมบูรณ์ ก็เห็นดาบหักที่แวววาวเจิดจ้าราวโปร่งแสงนั่นกะพริบไม่หยุด บ้างผ่า บ้างฟัน บ้างเฉือน บ้างแทง วิถีโคจรที่พาดผ่านแหวกอากาศเป็นรอยแยกน่าตกตะลึง
จากนั้นพลันยินเสียงกระหึ่มครืนๆ เป็นห้วงๆ
ยอดเขาซึ่งสูงราวหลายสิบจั้งถูกหั่นเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าเป็นระเบียบ จากนั้นจึงกลิ้งตกร่วงหล่นลง
พรึ่บ!
และตอนนี้ ดาบหักบินกลับมาลอยคว้างเหนือกายหลินสวินนานแล้ว เจิดจ้าดุจหยก ใสสะอาดแวววาว ประกายดาราใสเย็นอันบริสุทธิ์ไหลบ่าเอ่อล้น ไม่มีความเสียหายแม้เพียงเสี้ยว
หลินสวินหยุดยืนอยู่ตรงนั้น สงบจิตครุ่นคิด
ที่เรียกว่าวิชา ‘จิตขับเคลื่อน’ ไม่ได้ซับซ้อน เป็นการใช้จิตรับรู้ควบคุมศาสตราจิตอย่างหนึ่ง
ระหว่างพลังจิต ปราณแห่งตน ศาสตราจิตสามสิ่ง ก่อสัมพันธ์เสริมส่งกันและกัน ปราณแห่งตนยิ่งแข็งแกร่ง อานุภาพที่ศาสตราจิตสำแดงยิ่งน่าพรั่นพรึง
และหากพลังจิตยิ่งกร้าวแกร่ง การควบคุมศาสตราจิตก็ยิ่งเลิศล้ำและแคล่วคล่องดังใจนึก
เช่นเดียวกัน อานุภาพจากตัวศาสตราจิต สามารถทำให้ปราณแห่งตนและพลังจิตยิ่งสำแดงความยอดเยี่ยมได้ถึงที่สุด
แต่ทว่าพูดนั้นง่าย เมื่อลงมือฝึกจริงๆ กลับไม่ง่าย มรดกค่ายกลลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ ของดาบหัก แฝงความซับซ้อนและเร้นลับยิ่งยวด หากคิดควบคุมอย่างช่ำชองสมบูรณ์จำเป็นต้องลงมือฝึกฝนไม่หยุดหย่อน
‘อาศัยเพียงอานุภาพดาบหักในปัจจุบัน เทียบกับแต่ก่อนแล้วทรงพลังกว่าเท่าหนึ่ง และเมื่อควบคุมด้วยจิตขับเคลื่อน อานุภาพจะยกระดับขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่ อนุมานจากจุดนี้ หากประมือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีก ก็เพียงพอให้ปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย…’
‘จุดที่ต่างจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารคือ พลังที่ดาบหักผลาญไปนั้นไม่มาก ขอแค่ไม่เจอราชันกึ่งระดับก็สามารถให้ข้าต่อสู้ได้เนิ่นนาน’
หลินสวินทำการเปรียบเทียบครู่หนึ่งอยู่ในใจ
เวลาต่อมาหลินสวินเคี่ยวกรำวิชาจิตขับเคลื่อนต่อเนื่อง จากตะกุกตะกักเป็นเชี่ยวชาญ คืบหน้าอย่างราบรื่น ผลลัพธ์น่าพึงใจ
และในเวลาเดียวกันนี้ ก็เห็นขุนเขาสูงชันรกร้างในบริเวณใกล้เคียงลูกแล้วลูกเล่าทรุดถล่มสนั่นหวั่นไหว เกิดเสียงกึกก้องอึกทึกเป็นระลอก
ไม่นานผู้ฝึกปราณแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ถูกทำให้ตกใจ ทยอยมามุงดู
เริ่มแรกผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตื่นตะลึง เพราะในภาพความทรงจำของพวกเขา วิธีต่อสู้ที่หลินสวินชำนาญที่สุดคือวิชาธนู
อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือดทุกวันนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าวิชาธนูของคุณชายหลินเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร
ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หลินสวินฝึกฝนไม่ใช่วิชาธนู เหล่าผู้ฝึกปราณจึงตื่นตะลึงเช่นนี้
แต่ไม่ทันไรพวกเขาก็ใคร่รู้ว่านอกจากวิชาธนูแล้ว ความเชี่ยวชาญในวิชาต่อสู้ด้านอื่นๆ ของคุณชายหลินเป็นเช่นไร
จากนั้นเมื่อเห็นหลินสวินควบคุมดาบหัก ทลายภูผาสูงตระหง่านราวหักสะบั้นหญ้าแห้งไม้ผุลูกแล้วลูกเล่า ทำให้บริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลองกับตา ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง จิตใจเปลี่ยนจากอยากรู้อยากเห็นเป็นตื่นตระหนก
พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่เพียงมีวิชาธนูที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า แม้แต่วิชาต่อสู้อื่นๆ ก็ล้วนเห็นได้ว่าน่าอัศจรรย์!
“หรือว่าคุณชายหลินเป็นบุตรเทพโดยกำเนิดในตำนานรึ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
ผู้ฝึกปราณมากมายจิตใจสั่นไหว
“หากประมือกัน เกรงว่าข้าคงต้านการโจมตีเดียวของคุณชายหลินไว้ไม่อยู่”
เหยียนเฟิงเองก็มา เขาจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ แววตาเคลิ้มลอย
ในฐานะมหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดที่มีชื่อเสียงโจษจันคนหนึ่ง เวลานี้เหยียนเฟิงกลับกล่าววาจาเช่นนี้ พลันก่อเกิดเสียงอึกทึกจากผู้ฝึกปราณมากมายที่อยู่ใกล้เคียงทันที
“วิชาจิตขับเคลื่อน ดาบหักในมือเขาเล่มนั้นคือศาสตราจิต!”
ส่วนลึกในค่าย จ่างซุนเลี่ยแววตาไหวระริก แผ่แสงอสนีชวนตระหนก “หนึ่งธนู หนึ่งดาบหัก ล้วนทรงอานุภาพเช่นนี้ หรือเจ้าเด็กนี่มีวาสนาใหญ่ติดตัวรึไง”
กระทั่งรัตติกาลมาเยือน หลินสวินจึงหวนกลับค่ายด้วยหน้าตาอ่อนเพลีย
เพียงแต่ในใจเขากลับเปี่ยมด้วยความปิติยินดีและพอใจ วิชาจิตขับเคลื่อนที่ถ่ายทอดมาจากลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เกินคาดเดา ความแข็งแกร่งแห่งอานุภาพของดาบหักทำให้เขารู้สึกเหนือคาดหมาย
“คารวะคุณชายหลิน”
“ปฐมาจารย์หลิน เมื่อไหร่ท่านจะออกสังหารพวกสวะพ่อมดเถื่อนอีก ข้าอยากติดตามบุกตะลุยโจมตีข้าศึกพร้อมท่าน!”
“คุณชายหลิน ค่ำนี้มีเวลาว่างไหมขอรับ ขอดื่มสุรากับท่านสักจอกได้หรือไม่”
ระหว่างทางกลับค่าย ผู้ฝึกปราณที่ได้พบต่างทยอยทักทายหลินสวินอย่างกระตือรือร้น สายตาแฝงความเคารพเลื่อมใสและยกย่องสรรเสริญ
หลินสวินอมยิ้มคารวะตอบ สำหรับคำเชื้อเชิญเหล่านี้ล้วนปฏิเสธสิ้น ตอนนี้เขามัวเมาอยู่กับการเคี่ยวกรำวิชา ไม่มีเวลาไปผ่อนคลายหรือคบค้าสมาคม
รัตติกาลเยื้องกราย โคมตะเกียงในค่ายจุดสว่าง
แต่ทว่าคืนนี้ถูกกำหนดให้ไม่อาจนิ่งสงบ ไม่ทันไรสายสืบของจักรวรรดิคนหนึ่งก็เสี่ยงเข้ามาในค่ายยามราตรี เร่งรุดไปยังห้องแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย
“อะไรนะ แม่ทัพซย่าโหวเจี๋ยตายแล้ว?”
ภายในห้อง เสียงตระหนกเดือดดาลของจ่างซุนเลี่ยดังก้องขึ้น พร้อมกับเสียงดังโครมใหญ่ โต๊ะทำงานเบื้องหน้าเขากลายเป็นซากไม้ปลิวว่อนอีกครา
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
จ่างซุนเลี่ยข่มความตกตะลึงในใจ ซักถามเสียงกร้าว
สุดท้ายหลังจากรู้เรื่องทั้งหมด สีหน้าจ่างซุนเลี่ยพลันอึมครึมถมึงทึงหาใดเปรียบ จมสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์ ไม่เอ่ยสักคำ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดตกอยู่ในความสั่นสะท้าน ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างหวาดกลัวอยู่ในใจ บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังและเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์