Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 726

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 726 ข่าวโกลาหลนองเลือด
ตอนที่ 726 ข่าวโกลาหลนองเลือด
โดย
ProjectZyphon
ยามเย็น บริเวณที่ห่างจากค่ายหมายเลขเจ็ดหลายสิบลี้

ฉัวะ!

แสงหิมะจ้าโฉบออกมา ลากหางประกายดาราเจิดจรัส ฟันลงบนยอดเขาหนึ่งไม่ไกลโดยพลัน

ตูม!

ดุจดาบหั่นเต้าหู้ ยอดเขาถูกผ่าเป็นสองซีกอย่างง่ายดาย หน้าตัดราบเรียบ

นี่ยังไม่จบสมบูรณ์ ก็เห็นดาบหักที่แวววาวเจิดจ้าราวโปร่งแสงนั่นกะพริบไม่หยุด บ้างผ่า บ้างฟัน บ้างเฉือน บ้างแทง วิถีโคจรที่พาดผ่านแหวกอากาศเป็นรอยแยกน่าตกตะลึง

จากนั้นพลันยินเสียงกระหึ่มครืนๆ เป็นห้วงๆ

ยอดเขาซึ่งสูงราวหลายสิบจั้งถูกหั่นเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าเป็นระเบียบ จากนั้นจึงกลิ้งตกร่วงหล่นลง

พรึ่บ!

และตอนนี้ ดาบหักบินกลับมาลอยคว้างเหนือกายหลินสวินนานแล้ว เจิดจ้าดุจหยก ใสสะอาดแวววาว ประกายดาราใสเย็นอันบริสุทธิ์ไหลบ่าเอ่อล้น ไม่มีความเสียหายแม้เพียงเสี้ยว

หลินสวินหยุดยืนอยู่ตรงนั้น สงบจิตครุ่นคิด

ที่เรียกว่าวิชา ‘จิตขับเคลื่อน’ ไม่ได้ซับซ้อน เป็นการใช้จิตรับรู้ควบคุมศาสตราจิตอย่างหนึ่ง

ระหว่างพลังจิต ปราณแห่งตน ศาสตราจิตสามสิ่ง ก่อสัมพันธ์เสริมส่งกันและกัน ปราณแห่งตนยิ่งแข็งแกร่ง อานุภาพที่ศาสตราจิตสำแดงยิ่งน่าพรั่นพรึง

และหากพลังจิตยิ่งกร้าวแกร่ง การควบคุมศาสตราจิตก็ยิ่งเลิศล้ำและแคล่วคล่องดังใจนึก

เช่นเดียวกัน อานุภาพจากตัวศาสตราจิต สามารถทำให้ปราณแห่งตนและพลังจิตยิ่งสำแดงความยอดเยี่ยมได้ถึงที่สุด

แต่ทว่าพูดนั้นง่าย เมื่อลงมือฝึกจริงๆ กลับไม่ง่าย มรดกค่ายกลลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ ของดาบหัก แฝงความซับซ้อนและเร้นลับยิ่งยวด หากคิดควบคุมอย่างช่ำชองสมบูรณ์จำเป็นต้องลงมือฝึกฝนไม่หยุดหย่อน

‘อาศัยเพียงอานุภาพดาบหักในปัจจุบัน เทียบกับแต่ก่อนแล้วทรงพลังกว่าเท่าหนึ่ง และเมื่อควบคุมด้วยจิตขับเคลื่อน อานุภาพจะยกระดับขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่ อนุมานจากจุดนี้ หากประมือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีก ก็เพียงพอให้ปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย…’

‘จุดที่ต่างจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารคือ พลังที่ดาบหักผลาญไปนั้นไม่มาก ขอแค่ไม่เจอราชันกึ่งระดับก็สามารถให้ข้าต่อสู้ได้เนิ่นนาน’

หลินสวินทำการเปรียบเทียบครู่หนึ่งอยู่ในใจ

เวลาต่อมาหลินสวินเคี่ยวกรำวิชาจิตขับเคลื่อนต่อเนื่อง จากตะกุกตะกักเป็นเชี่ยวชาญ คืบหน้าอย่างราบรื่น ผลลัพธ์น่าพึงใจ

และในเวลาเดียวกันนี้ ก็เห็นขุนเขาสูงชันรกร้างในบริเวณใกล้เคียงลูกแล้วลูกเล่าทรุดถล่มสนั่นหวั่นไหว เกิดเสียงกึกก้องอึกทึกเป็นระลอก

ไม่นานผู้ฝึกปราณแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ถูกทำให้ตกใจ ทยอยมามุงดู

เริ่มแรกผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตื่นตะลึง เพราะในภาพความทรงจำของพวกเขา วิธีต่อสู้ที่หลินสวินชำนาญที่สุดคือวิชาธนู

อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือดทุกวันนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าวิชาธนูของคุณชายหลินเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร

ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หลินสวินฝึกฝนไม่ใช่วิชาธนู เหล่าผู้ฝึกปราณจึงตื่นตะลึงเช่นนี้

แต่ไม่ทันไรพวกเขาก็ใคร่รู้ว่านอกจากวิชาธนูแล้ว ความเชี่ยวชาญในวิชาต่อสู้ด้านอื่นๆ ของคุณชายหลินเป็นเช่นไร

จากนั้นเมื่อเห็นหลินสวินควบคุมดาบหัก ทลายภูผาสูงตระหง่านราวหักสะบั้นหญ้าแห้งไม้ผุลูกแล้วลูกเล่า ทำให้บริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลองกับตา ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง จิตใจเปลี่ยนจากอยากรู้อยากเห็นเป็นตื่นตระหนก

พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่เพียงมีวิชาธนูที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า แม้แต่วิชาต่อสู้อื่นๆ ก็ล้วนเห็นได้ว่าน่าอัศจรรย์!

“หรือว่าคุณชายหลินเป็นบุตรเทพโดยกำเนิดในตำนานรึ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”

ผู้ฝึกปราณมากมายจิตใจสั่นไหว

“หากประมือกัน เกรงว่าข้าคงต้านการโจมตีเดียวของคุณชายหลินไว้ไม่อยู่”

เหยียนเฟิงเองก็มา เขาจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ แววตาเคลิ้มลอย

ในฐานะมหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดที่มีชื่อเสียงโจษจันคนหนึ่ง เวลานี้เหยียนเฟิงกลับกล่าววาจาเช่นนี้ พลันก่อเกิดเสียงอึกทึกจากผู้ฝึกปราณมากมายที่อยู่ใกล้เคียงทันที

“วิชาจิตขับเคลื่อน ดาบหักในมือเขาเล่มนั้นคือศาสตราจิต!”

ส่วนลึกในค่าย จ่างซุนเลี่ยแววตาไหวระริก แผ่แสงอสนีชวนตระหนก “หนึ่งธนู หนึ่งดาบหัก ล้วนทรงอานุภาพเช่นนี้ หรือเจ้าเด็กนี่มีวาสนาใหญ่ติดตัวรึไง”

กระทั่งรัตติกาลมาเยือน หลินสวินจึงหวนกลับค่ายด้วยหน้าตาอ่อนเพลีย

เพียงแต่ในใจเขากลับเปี่ยมด้วยความปิติยินดีและพอใจ วิชาจิตขับเคลื่อนที่ถ่ายทอดมาจากลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เกินคาดเดา ความแข็งแกร่งแห่งอานุภาพของดาบหักทำให้เขารู้สึกเหนือคาดหมาย

“คารวะคุณชายหลิน”

“ปฐมาจารย์หลิน เมื่อไหร่ท่านจะออกสังหารพวกสวะพ่อมดเถื่อนอีก ข้าอยากติดตามบุกตะลุยโจมตีข้าศึกพร้อมท่าน!”

“คุณชายหลิน ค่ำนี้มีเวลาว่างไหมขอรับ ขอดื่มสุรากับท่านสักจอกได้หรือไม่”

ระหว่างทางกลับค่าย ผู้ฝึกปราณที่ได้พบต่างทยอยทักทายหลินสวินอย่างกระตือรือร้น สายตาแฝงความเคารพเลื่อมใสและยกย่องสรรเสริญ

หลินสวินอมยิ้มคารวะตอบ สำหรับคำเชื้อเชิญเหล่านี้ล้วนปฏิเสธสิ้น ตอนนี้เขามัวเมาอยู่กับการเคี่ยวกรำวิชา ไม่มีเวลาไปผ่อนคลายหรือคบค้าสมาคม

รัตติกาลเยื้องกราย โคมตะเกียงในค่ายจุดสว่าง

แต่ทว่าคืนนี้ถูกกำหนดให้ไม่อาจนิ่งสงบ ไม่ทันไรสายสืบของจักรวรรดิคนหนึ่งก็เสี่ยงเข้ามาในค่ายยามราตรี เร่งรุดไปยังห้องแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย

“อะไรนะ แม่ทัพซย่าโหวเจี๋ยตายแล้ว?”

ภายในห้อง เสียงตระหนกเดือดดาลของจ่างซุนเลี่ยดังก้องขึ้น พร้อมกับเสียงดังโครมใหญ่ โต๊ะทำงานเบื้องหน้าเขากลายเป็นซากไม้ปลิวว่อนอีกครา

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

จ่างซุนเลี่ยข่มความตกตะลึงในใจ ซักถามเสียงกร้าว

สุดท้ายหลังจากรู้เรื่องทั้งหมด สีหน้าจ่างซุนเลี่ยพลันอึมครึมถมึงทึงหาใดเปรียบ จมสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์ ไม่เอ่ยสักคำ

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดตกอยู่ในความสั่นสะท้าน ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างหวาดกลัวอยู่ในใจ บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังและเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด

“นอกจากนี้ราชันเมฆาอสนีสายคนเถื่อนอัสนี ราชันนภาเพลิงสายคนเถื่อนอัคคีต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส หอบชีวิตกลับมาอย่างโชคดี ตอนนี้ถอยกลับค่ายพ่อมดเถื่อนแล้ว ว่ากันว่าในเวลาอันสั้นไม่อาจสู้รบได้อีก!”

“สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ไม่อาจประเมินได้เช่นเดียวกัน”

แต่ละวันหลินสวินต่างเคี่ยวกรำฝึกยุทธ์

ทว่าข่าวสารที่ส่งต่อมาในหลายวันนี้เขาเองก็รับรู้เช่นเดียวกัน นอกจากถอนหายใจและกลัดกลุ้มแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

‘ตำหนักมรรคปริศนานั่นซ่อนอะไรไว้กันแน่ ทำไมถึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่ก้าวสู่อริยมรรคพวกนั้นต่างช่วงชิงประหนึ่งคลุ้มคลั่ง’

หลินสวินใคร่ครวญถึงคำถามนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

น่าเสียดายที่เขาเดาไม่ออก สำหรับเขา หนทางแห่งอริยมรรคเห็นชัดว่าห่างไกลเกินไป ไม่อาจจินตนาการได้สักนิดว่าวาสนาที่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวพวกนั้นคลุ้มคลั่งคืออะไร

เพื่อระบายความรู้สึกหดหู่ภายในใจ หลินสวินทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝน

‘เมื่อพิบัติมหามรรคมาเยือนจริงๆ สิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นซึ่งจำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนเหล่านี้จะต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ หรือบางทีอาจพูดได้ว่า สาเหตุที่พวกมันจำศีลก็เพื่อรอมหาสงครามที่แท้จริงมาเยือน!’

หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง บนหนทางการต่อสู้มหามรรคจากนี้ จะต้องเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดและดุเดือดกว่าแต่ก่อนอย่างแน่นอน

ในช่วงเวลานี้มีเพียงเร่งรีบฉกฉวยเวลาและโอกาสยกระดับศักยภาพ บางทีอาจจะสามารถทำให้มีคุณสมบัติยืนหยัดยามมหาสงครามมาเยือน!

‘ระดับกระบวนแปรจุติ ระดับสังสารวัฏ อมตะนพเคราะห์… หนทางแห่งอริยมรรคของข้ายังอีกยาวไกล แต่เวลาเร่งด่วนอยู่บ้าง หลังกลับจากสมรภูมิกระหายเลือดครานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณนั่นให้ได้!’

‘มีเพียงอยู่ที่นั่นจึงจะสามารถเสาะหาวิธีที่ทำให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และสามารถได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับมหาสงครามมากขึ้นด้วย!’

หลินสวินลอบทำการตัดสินใจ

คลื่นลมโกลาหลเกี่ยวกับป่าต้นหม่อนยืดเยื้อยาวนานราวครึ่งเดือน กว่าจะกลับสู่ความสงบ

ไม่ว่าจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างสูญเสียอย่างสาหัสในคลื่นลมนี้ ขวัญกำลังใจถูกจู่โจมอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ยามนี้ป่าต้นหม่อนนั่นราวกลายเป็นเขตต้องห้ามที่พาให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีก

และในเวลาครึ่งเดือนนี้ หลินสวินหยั่งถึงวิชาลับจิตขับเคลื่อนโดยสมบูรณ์ แคล่วคล่องดั่งใจนานแล้ว ที่ขาดแคลนเพียงหนึ่งเดียวอาจเป็นการฝึกประมือของจริง

ค่ำคืนนี้หลินสวินผ่อนคลายลงในที่สุด คิดอยากนัดเหล่าสหายอย่างหลูเหวินถิง เหล่าหวง หูทง เหยียนเฟิงมารวมตัวกัน

เพียงแต่เมื่อเขาไปหาหูทงกลับพบว่าฝ่ายหลังไม่อยู่ในค่าย

“หลังจากหัวหน้าออกไปปฏิบัติภารกิจเมื่อสามวันก่อน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว…” น้ำเสียงอาปี้แผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยแววอมทุกข์และอึมครึม จิตใจเลื่อนลอย ประหนึ่งวิญญาณหลุดลอยก็ไม่ปาน

ในใจหลินสวินหนักอึ้งขึ้นมาทันใด นี่เป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

……………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์