ตั้งแต่ก้าวสู่จักรวรรดิจวบจนปัจจุบัน ตลอดทางเขาไม่เคยขาดอริศัตรู แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยขาดสหาย เฉกเช่นครูฝึกเสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน หนิงเหมิง สืออวี่…
หรืออย่างเจ้าคางคก จ้าวไท่ไหล เสิ่นทั่ว…
และตอนนี้ที่สมรภูมิกระหายเลือด บางทีจ่างซุนเลี่ยอาจเคยตวาดอบรมเขาไม่ใช่แค่คราเดียว แต่หลินสวินรู้ว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่เคยเห็นตนเป็นคนนอก!
เหมือนอย่างศึกใหญ่ในวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนใหญ่คนโตเห็นแก่ตัวคนอื่นสักคน เกรงว่าคงล้วนมองส่วนรวมเป็นสำคัญ ยอม ‘สละ’ ตนทิ้ง
แต่จ่างซุนเลี่ยไม่เป็นเช่นนั้น!
ก็เหมือนการเผชิญหน้ากับฉินฉู่ที่เสแสร้งแกล้งทำเวลานี้ จ่างซุนเลี่ยสามารถเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดายได้ แต่เขาหาได้ทำเช่นนั้นไม่!
นี่จะไม่ให้หลินสวินไหวหวั่นได้อย่างไร
และเรื่องนี้ทำให้สีหน้าฉินฉู่อึมครึมไม่แน่วนิ่ง เขาเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นพลันกล่าวเรียบๆ “พี่จ่างซุน หนึ่งศรวันนี้ผลาญพลังกายเจ้าไปมากโข หากตอนนี้เลือกลงมือเกรงว่าเจ้าคงไม่อาจหยุดข้าได้”
“หากใช้ชีวิตเป็นเดิมพันล่ะจะว่าอย่างไร” จ่างซุนเลี่ยกล่าวเสียงเย็นชา
ฉินฉู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจดี ข้าทำเช่นนี้เพราะคิดเผื่อผู้ฝึกปราณในค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิ ในนั้นยังรวมถึงความปลอดภัยของค่ายหมายเลขเจ็ดของเจ้าด้วย!”
“เจ้าแม่งผายลม!”
จ่างซุนเลี่ยสบถออกมาเต็มคำ “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมาเสแสร้งต่อหน้าข้า ต่อให้อยากยืมใช้สมบัติจริง แต่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องฝืนใจคนอื่นเช่นนี้รึ เสียทีที่เจ้าเป็นราชันคนหนึ่ง กลวิธีกลับเลวทรามต่ำช้า หากไม่ใช่อยู่บนสมรภูมิกระหายเลือดข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว!”
“ตัวข้ามอบความจริงใจให้ แต่พวกเจ้ากลับไร้ซึ่งน้ำใจไม่เห็นคุณค่า”
ฉินฉู่เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนถอนหายใจ นัยน์ตาเจือแววร้ายกาจสายหนึ่ง “คุณธรรมอยู่เบื้องหน้า พวกเจ้าดื้อดึงไม่ยอมรับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าลงมือไร้ปรานี”
ตูม!
พลานุภาพทั่วร่างเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นข่มขู่ผู้คนหาใดเปรียบ นัยน์ตาเย็นชาจ้องมองจ่างซุนเลี่ยพลางกล่าว “ข้าอยากรู้นัก ตอนนี้เจ้าจ่างซุนเลี่ยจะขวางข้าได้กี่กระบวนท่า!”
ในใจหลินสวินมีความโกรธที่พูดไม่ออกถาโถม ความโลภของฉินฉู่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง ท่าทางก็อัปลักษณ์เกินไป เพื่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ยืมสมบัติ’ ถึงกับใช้กำลังโดยไม่คำนึง ช่างน่ารังเกียจถึงที่สุด
เพียงแต่จ่างซุนเลี่ยเวลานี้กลับเห็นได้ว่าสงบนิ่งยิ่ง เขามองฉินฉู่เงียบๆ แล้วกล่าว “ฉินฉู่ เจ้าถูกสมบัติล่อลวงจิตวิญญาณ หากกลับตัวตอนนี้ บางทีอาจมีหนทางเยียวยา”
“น่าขัน!”
ฉินฉู่แค่นเสียง “ข้ามีใจคิดเพื่อมวลชน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไยต้องกลับเนื้อกลับตัว”
จ่างซุนเลี่ยทอดถอนใจ คล้ายปลดปลงอยู่บ้าง
ในเวลาเดียวกันนี้กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้นจากนอกเรือน เด่นชัดยิ่งภายใต้บรรยากาศตึงเครียดและกดดันนี้
“พ่อฉินฉู่คนดี มีจิตคิดเพื่อมวลชน! หากเหล่าทหารแห่งจักรวรรดิต่างมีความคิดนี้เช่นเจ้า มีหรือจะไม่สามารถกำจัดพ่อมดเถื่อนให้สิ้นซาก”
ที่มาพร้อมกันคือเสียงแหบเนิบเสียงหนึ่ง สตรีงดงามปานล่มเมือง สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีดำ รูปร่างสูงโปร่งทรงสง่าคนหนึ่งก้าวเข้ามาในเรือน
นางมวยผมสีดำราวน้ำตกทั้งศีรษะเอาไว้ เผยลำคอระหงขาวกระจ่าง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาโตมีเสน่ห์ คิ้วทั้งคู่พาดตรงดำสนิท ใบหน้าเย้ายวนชวนตะลึง ประณีตถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
แต่เมื่อมองดูโดยละเอียด จะพบว่าในนัยน์ตางามของนางมีลักษณ์ประหลาดอย่างสุริยันจันทราจมดิ่ง สรรพสิ่งดับสูญ คล้ายในนั้นสามารถกลืนกินจิตวิญญาณผู้คน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่คือสตรีผู้งดงามยิ่งยวดนางหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหญิงที่อันตรายถึงขีดสุด!
หลินสวินเองก็ถือว่าพบเจอสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาไม่น้อย แต่บนร่างสตรีผู้นี้กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชวนประหวั่นลึกล้ำเกินคาดเดาอย่างหนึ่ง
กลิ่นอายนี้เกือบจะใกล้เคียงราชินีแห่งรัตติกาลผู้เป็นปริศนานั่น!
“คารวะท่านแม่ทัพ!”
จ่างซุนเลี่ยในยามนี้เคร่งขรึมยิ่ง ประสานหมัดคารวะอย่างจริงจัง นี่ทำให้หลินสวินสะท้านใจ ในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงฐานะของผู้มาเยือน
จ้าวซิงเย่!
แม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิที่ครอบครองพลังระดับราชันในสมรภูมิกระหายเลือด ขณะเดียวกันยังเป็นจอมทัพสูงสุดของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ!
จ้าวซิงเย่ ชื่อซึ่งไม่คล้ายชื่อหญิงสาว ทว่ากลับมีตำนานอันน่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่ง นางยกทัพจับศึกมาจนปัจจุบัน บนหนทางย้อมไปด้วยเลือดไม่มีสิ้นสุด กระดูกขาวกองพะเนิน เมื่อพูดถึงยังทำให้พ่อมดเถื่อนถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี มองนางเป็น ‘ราชินีกระหายเลือด’!
ว่ากันว่าแม่ทัพจ้าวซิงเย่ยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันด้วย
หญิงสาวที่มีฐานะสูงส่ง ศักยภาพสะเทือนใต้หล้า ยึดกุมอำนาจล้นฟ้า ทั้งยังงดงามยิ่งยวดคนหนึ่ง ไม่ว่าใครเห็นมีหรือจะไม่เคารพ
ทว่าราตรีนี้นางกลับมาปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน ทำให้ทุกคนรวมถึงหลินสวินต่างรู้สึกเกินคาดหมาย
“ท่าน… ทำไมท่านถึงมาได้เล่า” ฉินฉู่หน้าพลันเปลี่ยนสี เสียอาการอยู่บ้าง แม้จ้าวซิงเย่งดงามถึงที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับหวาดกลัวอยู่ในใจอย่างสุดซึ้ง
“หากข้าไม่มา แล้วจะรู้ความในใจนั้นของแม่ทัพฉินฉู่ได้อย่างไร”
จ้าวซิงเย่น้ำเสียงแหบเนิบ อากัปกิริยานิ่งสงบและแคล่วคล่อง ราวดอกฝิ่นงามล่มเมืองดอกหนึ่ง บุคลิกโดดเด่นพิเศษไม่เหมือนใคร
ฉินฉู่พลันหน้าเปลี่ยนสี คล้ายเก้กังอยู่บ้าง กล่าวว่า “แม่ทัพจ้าวล้อเล่นแล้ว”
กลับเห็นจ้าวซิงเย่ส่ายศีรษะ “ข้าหาได้ล้อเล่นไม่ ครานี้ศัตรูเคลื่อนทัพขนาดใหญ่มารุกราน สถานการณ์เรียกได้ว่ารุนแรงยิ่ง แม่ทัพฉินฉู่มีใจคิดเพื่อมวลชน ในใจข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์