ต้นไม้เก่าแก่รวมตัวเป็นผืนป่า สูงตระหง่านเสียดฟ้า แม้แต่ใบหญ้าบนพื้นดินยังอุดมสมบูรณ์ แผ่พลังชีวิตเปี่ยมล้น ทอดสายตามองไปทุกที่ล้วนปรากฏกลิ่นอายโบราณดั้งเดิม
ซย่าเสี่ยวฉงถือทวนเงิน ก้าวเท้าแผ่วเบาทะลุผ่านพุ่มหญ้า สดใสและมีชีวิตชีวา ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู
“มุกควบรวมจิตหรือ”
ระหว่างทางหลินสวินอดสงสัยไม่ได้
“อืม ก็คืออันนี้”
ซย่าเสี่ยวฉงพลิกฝ่ามือ มุกสีฟ้าเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น ขนาดประมาณไข่ไก่ แวววาวโปร่งแสง อบอวลด้วยแสงประกายเย็นเยียบ
“เวลาล่าสัตว์ปีศาจ สามารถใช้สิ่งนี้ดูดกลืนจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจได้ เมื่อจิตวิญญาณที่สะสมถึงระดับใดระดับหนึ่ง มุกควบรวมจิตก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แปรเป็นหยกควบรวมจิต สามารถนำมาทำยาและสร้างเป็นสมบัติได้”
เสียงของซย่าเสี่ยวฉงใสกระจ่าง “มุกควบรวมจิตในมือข้ามีมาตรฐานระดับกลางเท่านั้น ดูดกลืนได้เพียงจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจระดับมหาสมุทรวิญญาณ และภารกิจของข้าในครั้งนี้ก็คือรวบรวมจิตวิญญาณในมุกควบรวมจิตให้เต็ม ทำให้มันกลายเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลาง หลังจากนั้นก็จะสามารถกลับสำนักไปส่งมอบให้อาจารย์ได้”
“อ้อ”
หลินสวินสนใจมาก ยืมมุกควบรวมจิตมาดู และใช้จิตรับรู้สอดส่องภายใน พลันมองเห็นจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจมากมายปรากฏอยู่ภายใน มีงูนอแผงเขียว จิ้งจอกดำดินสลาย นกกระจอกเพลิงเหินเมฆา นกกระทานัยน์เนตร และอื่นๆ อีกหลายสิบตัว
“สะสมจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจ แปรเป็นหยกเทพ สามารถทำยาและหลอมอาวุธ… สมบัติชิ้นนี้มีคุณสมบัติที่สุดยอดเพียงนี้เชียวหรือ”
หลินสวินแปลกใจมาก เขาเพิ่งเคยเห็นสมบัติที่วิเศษขนาดนี้เป็นครั้งแรก
“ใช่แล้ว ได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่า บนโลกนี้ยังมีมุกควบรวมจิตชั้นดีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกด้วย ไม่เพียงสามารถดูดกลืนจิตวิญญาณของสัตว์ปีศาจระดับกระบวนแปรจุติได้ ยังสามารถควบรวมไอแห่งมหามรรค มีประโยชน์ต่อการหยั่งรู้ปริศนามหามรรคอย่างเหลือเชื่อ”
ใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความมุ่งหวังและหมายปอง
“นี่ น้ำลายจะไหลลงมาแล้ว”
หลินสวินเตือน
ซย่าเสี่ยวฉงเช็ดมุมปากแวววาว หัวเราะแฮะๆ แล้วพูด “ทำให้ท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว”
แม้จะพูดเช่นนี้นางกลับไม่รู้สึกเคอะเขินเลยสักนิด ท่าทางดูใสซื่อบริสุทธิ์
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดหมดคำพูดไม่ได้ ในใจกลับค่อนข้างชอบนิสัยของเด็กสาวคนนี้ ไร้เดียงสาเป็นอิสระ สดใสน่าเอ็นดู
“เจ้าต้องการจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจอีกเท่าไหร่”
หลินสวินถาม
ซย่าเสี่ยวฉงหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที พูดอย่างมีใจแต่ไร้แรง “เยอะมากๆ”
“เท่าไหร่กันแน่”
“อย่างน้อย… ต้องเป็นพันมั้ง”
“มากขนาดนี้เชียว”
“ใช่ หากต้องการเปลี่ยนมุกควบรวมจิตระดับกลางเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลาง เป็นเรื่องที่ยากมาก อาจารย์บอกว่านี่เป็นบททดสอบของข้า หากไม่สามารถทำได้ก็ไม่อนุญาตให้กลับสำนัก”
“เจ้ามาจากสำนักไหน”
“เอ้อ ลืมบอกท่านไปเลย ข้ามาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว”
“สำนักยุทธ์กลุ่มดาวหรือ เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“ท่านไม่เคยได้ยินหรือ สำนักยุทธ์กลุ่มดาวของเรามีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นวิญญาณอัคนี”
“หืม?”
“แฮะๆ ส่วนเหตุผลที่มีชื่อเสียงท่านเดาไม่ออกแน่ เพราะในสำนักยุทธ์กลุ่มดาวของเรามีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น”
“สองคน?”
“ใช่ ข้ากับอาจารย์ของข้า”
“สุดยอด… จริงๆ!”
หลินสวินไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ สำนักหนึ่ง กลับพึ่งการที่มีจำนวนคนน้อยในการสร้างชื่อเสียง ช่างเป็นเรื่องประหลาดจริงๆ
“ข้าเองก็รู้สึกว่าสุดยอด”
กลับเห็นซย่าเสี่ยวฉงท่าทางภาคภูมิใจ เชยคางขึ้นสูง ดวงตาโตคู่ใสกำลังทอประกาย
‘บางที ความไม่รู้ก็อาจจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง…’ หลินสวินแอบทอดถอนใจ
ทั้งสองคุยกันมาตลอดทาง แต่ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจหลายๆ อย่าง
ดินแดนรกร้างโบราณ
นี่เป็นโลกที่กว้างใหญ่งดงาม เก่าแก่และโอ่อ่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสำนักมากมายถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้
ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน หมื่นเผ่าหยัดยืน วีรชนเปี่ยมล้น ผู้กล้าหนาแน่น มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และรุ่งโรจน์เรืองรองอันยากจะจินตนาการ
ในทำนองเดียวกัน ดินแดนรกร้างโบราณก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งดินแดนสี่แดนวิภู หนึ่งแดนวิภูสามพันแคว้น’
สี่แดนวิภู หมายถึงแดนชัยบูรพา แดนฐิติประจิม แดนกาฬทักษิณ แดนดาราอุดร
ในทุกๆ แดนวิภู ล้วนเรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมอาณาเขตไม่มีที่สิ้นสุด ที่เรียกว่าหนึ่งแดนวิภูสามพันแคว้นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ในสี่แดนวิภูยังมีโลกเล็กๆ จำนวนหนึ่งกระจายอยู่ ความกว้างใหญ่ไพศาลนั่นเหนือจินตนาการ
ในทุกๆ แดนวิภูโลกล้วนมีประวัติศาสตร์การฝึกปราณและสำนักฝึกปราณที่เป็นเอกลักษณ์ โดยในนี้หมายรวมถึงขุมกำลัง เผ่าพันธุ์ และสำนักที่แตกต่างกัน… เรียกได้ว่ามากมายราวกับดวงดาว สีสันเจิดจรัส!
เมื่อครั้งอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ตอนที่หลินสวินได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับดินแดนรกร้างโบราณก็อดตะลึงไม่ได้
ภายหลังเขาจึงเข้าใจ บางทีอาจจะเพราะดินแดนรกร้างโบราณกว้างใหญ่ไพศาล ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันจึงได้ให้กำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานนับไม่ถ้วน และปรากฏผู้กล้ามากมาย
ตอนนี้หลินสวินเข้าใจแล้วว่า ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือแคว้นวิญญาณอัคนี ตั้งอยู่ในแดนฐิติประจิมของดินแดนรกร้างโบราณ
แดนฐิติประจิม
ทว่าไม่นานหลินสวินก็เก็บสายตากลับมา ชายหญิงเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังปราณที่สูงที่สุดก็มีเพียงระดับหยั่งสัจจะ สำหรับหลินสวินในตอนนี้ ย่อมไม่สามารถข่มขวัญได้เลยสักนิด
“เอ๋ นี่เสี่ยวฉงจื่อ (เจ้าหนอนน้อย) สำนักยุทธ์กลุ่มดาวไม่ใช่หรือ”
จู่ๆ ก็มีคนตะโกน น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยัน หลังจากคนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องมองมา
“หึ! ข้าชื่อซย่าเสี่ยวฉง ไม่ใช่เสี่ยวฉงจื่อ”
ซย่าเสี่ยวฉงจ้องเขม็ง โต้อย่างหัวเสีย
“ฮ่าๆๆ”
ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นหัวเราะครื้นเครง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับซย่าเสี่ยวฉง รู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี ท่าทีจึงหยิ่งผยองไม่เกรงกลัว
ท่ามกลางผู้ฝึกปราณกลุ่มนั้นมีผู้หญิงหลายคนยิ่งเผยสีหน้าดูถูก ราวกับไม่พอใจซย่าเสี่ยวฉงอย่างมาก
“เสี่ยวฉงจื่อ การฝึกในภูเขาโคม่วงเหลือเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น เจ้ารวบรวมจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจครบหรือยัง”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ายิ้มร่าถาม
“ยัง” ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหน้า
หลินสวินเลิกคิ้ว ต้องยอมรับว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นแม่นางที่ไร้เดียงสาไม่มีพิษสงจริงๆ ฟังความเยาะเย้ยในคำพูดของชายหนุ่มคนนี้ไม่ออกสักนิด คำตอบยังซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างมาก
“ดูท่านใน ‘งานประลองใหญ่รวมสำนัก’ ของแคว้นวิญญาณอัคนี สำนักยุทธ์กลุ่มดาวของพวกเจ้าจะต้องขายหน้าเสียแล้ว ถึงตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าจะต้องเสียหน้าเพราะเจ้าแน่”
คำพูดของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“ศิษย์พี่โม่เฟิง กับคนโง่อย่างนางมีอะไรน่าคุย พวกเรารีบลงมือกันเถอะ งานประลองใหญ่รวมสำนักครั้งนี้ สำนักวิญญาณอิงเมฆาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อย ส่งเสียงเตือน
“ก็จริง!”
โม่เฟิงพยักหน้า แล้วพาชายหญิงกลุ่มนี้เคลื่อนตัวไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวเหยียดห่างออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองหลินสวินแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว
หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับดูผิดปกติเล็กน้อย ขอบตาของนางแดงเรื่อขึ้นมา ดวงตาโตใสน้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้ ดูเหมือนเสียใจมาก
“ท่าทีของเจ้าพวกนั้นร้ายกาจจริงๆ ให้ข้าสั่งสอนพวกเขาให้เจ้าหรือไม่” หลินสวินถาม ท่าทางน่าสงสารของเด็กสาวทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกสงสารไม่น้อย
ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหน้า จิตใจหดหู่มาก “ข้าไม่สนใจที่พวกเขาหัวเราะเยาะ เพียงแต่กังวลว่าการฝึกครั้งนี้จะทำให้อาจารย์ขายหน้า อาจารย์ดีกับข้ามาโดยตลอด ข้าไม่อยากให้ท่านผิดหวัง”
หลินสวินคิดๆ แล้วพูดว่า “เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่างานประลองใหญ่รวมสำนักเป็นอย่างไร”
ในใจเขาได้แอบตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ถือสาที่จะช่วยเด็กสาวคนนี้สักครั้ง
ซย่าเสี่ยวฉงสูดหายใจเข้า ใช้มือขยี้ตา พยายามทำให้ตัวเองสงบ แล้วจึงเล่าเรื่องงานประลองใหญ่รวมสำนักออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์