สี่สำนักหมายถึงสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักมุกวิญญาณ และสำนักเร้นปรัชญา
นี่คือสี่สำนักที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งแดนฐิติประจิม ในสำนักมีราชันกึ่งระดับควบคุมดูแล ลูกศิษย์นับไม่ถ้วน มีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นวิญญาณอัคนี
ส่วนสามตระกูลก็คือ สามตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลิ่ว เซียวและเวิน
พูดถึงรากฐาน อิทธิพลของสามตระกูลใหญ่ด้อยกว่าสี่สำนักใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังคงเป็นขุมอำนาจทรงอิทธิพลของแคว้นวิญญาณอัคนี
งานประลองใหญ่รวมสำนักครั้งนี้เริ่มขึ้นโดยสี่สำนักสามตระกูล เป็นการฝึกฝนและแข่งขันที่ให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์เข้าร่วม
สถานที่ก็คือภูเขาโคม่วง
ระยะเวลาคือหนึ่งเดือน
เนื้อหาเรียบง่ายมาก นั่นคือล่าสังหารสัตว์ปีศาจในภูเขาเพื่อช่วงชิงจิตวิญญาณ!
เมื่อผลการทดสอบออกมา ก็จะจัดอันดับตามจำนวนของจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ลูกศิษย์แต่ละฝ่ายได้มา
อันดับของลูกศิษย์ยิ่งสูง รางวัลที่จะได้ก็ยิ่งมาก
สำหรับบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ อับดับสูงต่ำไม่เพียงจะได้รับรางวัล ยังเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งด้วย เพียงพอจะทำให้ชื่อเสียงของตนดังไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!
เมื่อได้รู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็พอจะเข้าใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่า นี่เป็นการทดสอบของผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์จากสี่สำนักสามตระกูล
แล้วซย่าเสี่ยวฉงที่มาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจนี้ เช่นนั้นจะร่วมการทดสอบได้อย่างไร
“อาจารย์ของข้าให้ข้ามาเข้าร่วม ข้าจึงมา” ซย่าเสี่ยวฉงท่าทางดูเลอะเลือนมาก นางเองก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้นัก
หลินสวินพูดไม่ออก ในใจกลับเดาได้เป็นส่วนใหญ่ว่า อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงคงใช้วิธีอะไรสักอย่าง ทำให้ซย่าเสี่ยวฉงได้สิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้
และการที่อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไปประลองกับอีกเจ็ดขุมอำนาจงั้นหรือ”
สีหน้าของหลินสวินดูแปลกพิกลอยู่บ้าง
“อื้ม” ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
‘เด็กนี่เป็นหนอนน้อยเลอะเลือนโดยแท้’ หลินสวินยิ้มน้อยๆ
ใครๆ ก็ดูออกว่าในการทดสอบครั้งนี้ ซย่าเสี่ยวฉงไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่ดี ถึงอย่างไรนางก็หัวเดียวกระเทียมลีบ และพลังปราณก็อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น
ส่วนลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจที่เข้าร่วมการทดสอบรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และคนที่พลังปราณสูงกว่าซย่าเสี่ยวฉงก็มีไม่น้อย เมื่อเทียบกันแล้วซย่าเสี่ยวฉงเสียเปรียบในการประลองครั้งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“อาจารย์บอกว่า ขอเพียงแค่ข้าสามารถรวบรวมจิตวิญญาณให้เต็มมุกควบรวมจิตระดับกลางในมือก่อนการทดสอบจะสิ้นสุดลงก็พอแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าง่ายมาก ไม่คิดว่า… ไม่คิดว่า…”
ซย่าเสี่ยวฉงเศร้าใจมาก
‘ดูเหมือนอาจารย์ของนางก็รู้ว่าการประลองในครั้งนี้สร้างความลำบากให้นาง จึงเสนอข้อเรียกร้องต่ำเช่นนี้’
หลินสวินคิดถึงตรงนี้พลันพูดว่า “อีกตั้งสิบวันกว่าการทดสอบจะสิ้นสุด ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหนือความคาดหมาย ซย่าเสี่ยวฉงกลับส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าบอกว่า เรื่องของตัวเองก็ต้องทำเองเท่านั้น”
หลินสวินอึ้งไป แล้วยิ้มพูด “ได้ งั้นเจ้าตามข้าคงได้นะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเงยดวงหน้าเล็กใสซื่อขึ้น เผยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน สุกสว่างไร้พิษสง
ภูเขาโคม่วงทอดยาวเหยียดติดต่อกันเป็นพันลี้ เก่าแก่และกว้างใหญ่
จากที่ซย่าเสี่ยวฉงพูด ภูเขาโคม่วงนี่ก็นับว่าเป็นแดนสมบัติที่สมบูรณ์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ในป่ามีสัตว์ปีศาจมากมาย และไม่ขาดพวกสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่ดุร้าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยถูกขุมอำนาจมนุษย์ยึดครอง
ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ได้รับคำเตือนตั้งแต่ตอนมาแล้ว ว่าอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้เพียงรอบนอกเท่านั้น ห้ามเข้าไปลึก
เพราะในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงมีราชันอสูรมารที่แท้จริงยึดครองอยู่ เป็นระดับที่สูงว่าราชันกึ่งระดับ พลังน่าหวาดหวั่นยิ่ง
‘มิน่าตลอดทางจึงไม่เจอสัตว์ปีศาจเลย ต้องถูกพวกลูกศิษย์สำนักอื่นที่เข้าร่วมการทดสอบฆ่าไปหมดแล้วแน่…’
หลินสวินเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นได้ อีกทั้งระหว่างทางเขาเห็นร่องรอยการต่อสู้อยู่บ้าง มีคราบเลือดของสัตว์ปีศาจอสูรมารและซากศพระเกะระกะ
“เจ้าเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ไม่มีทางล่าเหยื่อได้หรอก”
หลินสวินอดเตือนไม่ได้
“หา?”
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้ง ดวงหน้าเล็กงามเต็มไปด้วยความงงงวย
“เลอะเลือนจริงๆ เลย…”
หลินสวินกุมหน้าผากถอนหายใจเบาๆ ยัยหนูคนนี้ช่างเป็นพวกมองโลกในแง่ดี ไร้ความกังวล ไม่มีอุบายอย่างแท้จริง
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปหาสัตว์ปีศาจ”
หลินสวินตัดสินใจนำทาง
“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าล่าสัตว์ไม่ได้” ซย่าเสี่ยวฉงรีบตามขึ้นมา ถามเหมือนเป็นเจ้าหนูขี้สงสัย
“เหตุผลง่ายมาก ระหว่างทางเจ้าก็เห็นว่ามีซากศพและคราบเลือดของสัตว์ปีศาจไม่น้อย นี่เป็นการยืนยันว่ามีคนมากมายลงมือก่อนหน้าเราแล้ว ตามหลังพวกเขาไป เจ้าคิดว่าจะยังล่าสัตว์ปีศาจได้อีกหรือ” หลินสวินอธิบายอย่างใจเย็น
“ที่ท่านพูดมีเหตุผลมากเลย สุดยอดจริงๆ!” ดวงตาคู่โตสดใสของซย่าเสี่ยวฉงทอประกาย ชื่นชมอย่างมาก
หลินสวินร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก แค่นี้สุดยอดที่ไหนกัน ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีประสบการณ์หน่อย แวบเดียวก็ดูออกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาไม่รู้ความ และที่ผ่านมาคงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
ระหว่างพูด หลินสวินก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์