ระหว่างทางศิษย์หญิงสำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง นางชื่อเหวินเฟยหรัน หน้าตางดงามโดดเด่น สติปัญญาเลิศล้ำ
“ทำไมหรือ” โม่เฟิงมุ่นคิ้ว
“เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่บนร่างกลับมีกลิ่นอายที่พาให้น่าหวาดหวั่น และสามารถมั่นใจได้ว่า เขาเองก็มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ”
ดวงตาคู่ใสของเหวินเฟยหรันเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด “การทดสอบในครั้งนี้ ข้าจำไม่ได้ว่าในขุมอำนาจอื่นมีบุคคลเช่นนี้”
โม่เฟิงขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าคนชั้นยอดที่แท้จริงคนหนึ่งจะไปเกลือกกลั้วกับยัยโง่อย่างซย่าเสี่ยวฉงหรือ”
เหวินเฟยหรันเตือน “อาจจะมีความลับอื่นซ่อนอยู่”
โม่เฟิงเริ่มหมดความอดทนแล้ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องเหวิน ข้าถามเจ้าหน่อย หากเขามีความสามารถที่แข็งแกร่งจริง เมื่อครู่นี้เหตุใดต้องยอมถอย ถึงขั้นที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเราด้วยซ้ำ”
เหวินเฟยหรันกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง กลับเห็นโม่เฟิงโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว การเคลื่อนไหวเร่งด่วนกว่า ในการทดสอบครั้งนี้ คู่ต่อสู้เดียวที่พวกเราต้องหวาดหวั่นคือเยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเท่านั้น เจ้าหมอนั่นถูกเรียกว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี ศักยภาพแข็งแกร่งยิ่ง ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำขบวนศิษย์สำนักยุทธ์พันเวท จะต้องมุ่งเป้าที่อันดับหนึ่งของการทดสอบอย่างแน่นอน”
พูดถึงตอนท้ายหว่างคิ้วของเขาก็อึมครึมแล้ว
“เยวี่ยเจี้ยนหมิง…”
เหวินเฟยหรันถอนหายใจในใจ ตอนที่พูดถึงชื่อนี้ก็ทำให้นางมีความรู้สึกกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เช่นกัน
นี่เป็นอัจฉริยะที่ความสามารถน่าทึ่งคนหนึ่ง พรสวรรค์เกินมนุษย์ ฝึกปราณตั้งแต่อายุสามปี ทะลวงระดับกำลังภายในและก้าวสู่ระดับจิตผสานวิญญาณตอนอายุห้าปี!
และตอนอายุเก้าปี เยวี่ยเจี้ยนหมิงได้กลายเป็นบุคคลระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์แล้ว ตอนนั้นด้วยเหตุผลนี้ทำให้ชื่อของเยวี่ยเจี้ยนหมิงสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!
แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงในตอนนี้พลังปราณยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ว่ากันว่ามีรากฐานและหน่วยก้านที่สามารถก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากลับกดระดับพลังของตน สิ่งที่หวังก็คือการช่วงชิงมกุฎมรรคาอันสัมบูรณ์ในพิบัติมหามรรคที่กำลังจะมาเยือน!
เผชิญกับคู่แข่งที่สะดุดตาไร้ที่เปรียบเช่นนี้ ใครจะไม่รู้สึกกดดัน
“ว่ากันว่า ไม่นานมานี้อริยะคนหนึ่งใน ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมเคยกล่าวว่า สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรคได้เริ่มมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!”
โม่เฟิงสายตาวูบไหว “ตอนนี้ ในทุกๆ พื้นที่ทั่วหล้า ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดและการเปลี่ยนแปลงอันเหลือเชื่อขึ้นไม่มากก็น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณว่า ม่านแห่งมหาสงครามจะเปิดออกในอีกไม่นานแล้ว”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “ก่อนที่เหตุการณ์นี้มาเยือน พวกเราต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ คว้าทุกโอกาสพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง จึงจะสามารถมีที่ยืนในมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในอนาคตครั้งนี้!”
เหวินเฟยหรันฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้ว่า พูดง่าย แต่ความเป็นจริงกลับยากลำบากยิ่ง
ใต้หล้านี้มีผู้กล้ามากมายนับไม่ถ้วน เจิดจ้าจรัสแสง เมื่อมหาสงครามมาเยือน กลัวก็แต่ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยซ้ำ!
ถึงอย่างไรแคว้นวิญญาณอัคนีก็เป็นเพียงแคว้นหนึ่งในบรรดาแคว้นมากมายของแดนฐิติประจิมเท่านั้น และสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาก็เป็นเพียงขุมอำนาจหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี
แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ มีถึงสี่แดนวิภูและแคว้นอีกนับไม่ถ้วน!
ยิ่งมีโลกเล็กๆ และแดนเร้นอริยะที่ลึกลับไม่อาจรู้อีกมากมาย
จากคาดการณ์เช่นนี้ พวกเขาในฐานะศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักมุกวิญญาณแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เมื่อเทียบกับอัจฉริยะนับไม่ถ้วนใต้หล้าแล้วก็สู้อะไรไม่ได้เลย
นี่ไม่ใช่เพราะเหวินเฟยหรันมองโลกในแง่ร้าย แต่นางรู้ดีว่านี่คือความจริง หากแม้แต่ความเป็นจริงยังอ่านไม่ขาด ก็อย่าคิดว่าจะเข้าร่วมในมหาสงครามเลย นั่นย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดาย เหวินเฟยหรันรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโม่เฟิงหรือผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ต่างไม่ฟังเรื่องพวกนี้
จู่ๆ เหวินเฟยหรันก็ชะงัก เมื่อครู่นี้พูดถึงเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่มิใช่หรือ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…
จากนั้นนางก็อดลอบยิ้มขื่นไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าโม่เฟิงไม่ฟังสิ่งที่ตนเตือน หวังเพียงว่า… ตนคงคิดมากไปเอง
……
“พวกเขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
ในภูเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ดวงหน้าเล็กใสซื่อของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แม้จะโกรธ แต่ท่าทางของนางก็ยังดูน่ารักมาก ทำให้หลินสวินยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“จริงสิ ท่านเองก็โกรธใช่หรือไม่” ซย่าเสี่ยวฉงถาม
หลินสวินขานรับว่าอืม
ใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงเผยความรู้สึกผิดเต็มประดา มือเล็กกำชายเสื้อพูด “ขอโทษนะ เป็นเพราะข้าคนเดียวจึงทำให้ท่านถูกพวกเขารังแก ไม่งั้น ท่านไม่ต้องไปกับข้าแล้วก็ได้”
ป๊อก!
หลินสวินอดยกมือขึ้นเขกหัวซย่าเสี่ยวฉงไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้หากข้าไม่อยู่ เจ้าต้องประสบเคราะห์ไปแล้ว”
“เอ้อ…” ซย่าเสี่ยวฉงสีหน้างงงวย “เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริง งั้นข้าควรจะโกรธมากกว่านี้ใช่หรือไม่”
นี่ยังต้องถามอีกหรือ
หลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที ยัยหนูคนนี้ใสซื่อเกินไปแล้ว
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี หรือเราจะกลับไปคิดบัญชีกับพวกเขา”
ซย่าเสี่ยวฉงพูดพร้อมใบหน้าทุกข์ใจ “แต่เราสู้พวกเขาไม่ได้ ถ้าถูกรังแกขึ้นมาจะทำอย่างไร ยุ่งยากจริง ถ้าอาจารย์อยู่จะต้องมีวิธีแน่…”
ฟังเสียงนางบ่นพึมพำ ดวงหน้าเล็กทุกข์ระทมยู่ย่น หลินสวินก็อดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้
เอาเถอะ หวังให้เจ้าหนอนเลอะเลือนนี่ให้คำตอบที่แน่ชัด เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน!
“เอามุกควบรวมจิตของเจ้ามาให้ข้า”
หลินสวินพูดตรงๆ
“หา เจ้าจะทำอะไร”
ซย่าเสี่ยวฉงแปลกใจ
“ฟังคำข้า”
หลินสวินดูเผด็จการมาก
ซย่าเสี่ยวฉงขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วหยิบออกมาโดยดี
“แล้วก็ ระหว่างทางหลังจากนี้เจ้าเพียงดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว รู้ไหม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์