หัวใจของหลินสวินสั่นไหว ไม่อาจสงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง ชั่วขณะในสมองพลันหวนนึกถึงมรรคคาถาที่ได้รับมาจากคีรีแห่งดวงกมลบทนั้นขึ้นมา
ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร ข้าจากมรรตยะ เคาะประตูสู่อมร ทางเร้นเห็นสันดร มรรคประทานผู้มีบุญ
ตามคำบอกกล่าวของเจ้าคางคก มรรคคาถาลึกลับบทนี้ต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่สะเทือนสวรรค์เอาไว้เป็นแน่ อีกอย่างเจ้าคางคกเคยวิเคราะห์ว่าประโยคแรกของมรรคคาถาบทนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน!
แหล่งสถานคุนหลุน หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาลอันลึกลับที่สุด ทั้งยังถูกขนานนามว่าแดนเทพ ตามตำนานหากคิดปีนป่ายคุนหลุน จะต้องผ่าน ‘เส้นทางโบราณนภสินธุ์’ ที่ทอดข้ามความว่างเปล่าโดยรอบ
แต่เจ้าของมรรคคาถาบทนั้น กลับมองเส้นทางโบราณนภสินธุ์เป็นเพียงรองเท้าข้างหนึ่งที่ใช้เยื้องย่างเข้าคุนหลุน ลำพังแค่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็เห็นได้ว่าพลังปราณของเจ้าของมรรคคาถาบทนี้น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
หลินสวินยังจำได้ดีถึงอาการถอนหายใจปลงตกในตอนนั้นของเจ้าคางคก กล่าวว่าแหล่งสถานคุนหลุนลึกลับยิ่งกว่าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ลือกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับมรรคาเซียนที่แท้จริง แม้จะเป็นอริยบุคคลบรรพกาล ก็แทบไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของคุนหลุนเลยสักแวบ!
ทำให้แหล่งสถานคุนหลุนยิ่งลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจมองเห็นได้ดุจดั่งปาฏิหาริย์
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่า ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ที่ลิ่นเหวินจวินนำออกมาถึงขนาดเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
แม้จะเป็นหลินสวิน ชั่วขณะนี้ก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้
หากเป็นจริงตามที่ลิ่นเหวินจวินบอก ว่าป้ายคำสั่งเซียนเหินนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว เช่นนั้นของสิ่งนี้ย่อมเป็นสมบัติล้ำ ประเมินมูลค่าไม่ได้ชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
ก็ไม่แปลกที่ลิ่นเหวินจวินพูดว่าอริยะเห็นแล้วต้องตาร้อน พุ่งเข้ามาฆ่าคนชิงสมบัติ นี่เป็นถึงสมบัติที่เกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน กลัวว่าแม้แต่เทพไท้ตัวจริงเมื่อเห็นเข้าคงใจระส่ำเช่นกันแน่!
“เท่าที่ข้ารู้ บนโลกใบนี้น่าจะมีป้ายคำสั่งเซียนเหินอยู่เก้าชิ้น นอกจากชิ้นนี้แล้ว ในเผ่าสุนัขสวรรค์ภูตทมิฬก็มีหนึ่งชิ้น ที่แดนชัยบูรพามีสำนักโบราณนาม ‘แดนพิสุทธ์บงกช’ เรียกได้ว่าเป็นสุขาวดีน้อยก็มีหนึ่งชิ้น ส่วนชิ้นที่เหลือจนป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าตกไปอยู่ในมือใคร”
ท่าทางลิ่นเหวินจวินเจือความซับซ้อนเสี้ยวหนึ่ง “สมัยบรรพกาล ความแค้นระหว่างเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้ากับเผ่าสุนัขสวรรค์ภูตทมิฬ ก็ปะทุขึ้นเพราะของสิ่งนี้!”
หลินสวินอึ้ง กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป หากมอบให้ข้าเกรงว่าจะไม่ใคร่เหมาะกระมัง”
เขาไหวหวั่นมากจริงๆ ควรรู้ว่าในเจดีย์สมบัติไร้อักษรของเขายังซ่อน ‘มรรคคาถา’ ลึกลับบทหนึ่งซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุน!
หากได้ป้ายคำสั่งเซียนเหิน จากนี้ไปขอเพียงมีโอกาสเข้าใกล้แหล่งสถานคุนหลุน จะต้องสามารถมองเห็นโฉมหน้าแท้จริงได้แน่!
แต่ว่าเขารู้ดีเช่นกัน ป้ายคำสั่งลึกลับชิ้นนี้ร้อนลวกมือมาก ล้ำค่าและไม่ธรรมดาเกินไป หากรับเอาไว้ น้ำใจที่ติดค้างก็มากเกินไปแล้ว
ลิ่นเหวินจวินยิ้มหยัน “กาลเวลาอันไร้สิ้นสุดผ่านไปมากมายแล้ว จนบัดนี้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้าเกือบดับสูญ ก็ยังไม่เคยค้นพบความลับแท้จริงของป้ายคำสั่งเซียนเหินนี้ได้เลย แม้มันจะอยู่ในมือข้าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักนิด กระทั่งอาจจะถูกเผ่าสุนัขสวรรค์ภูตทมิฬชิงไป แทนที่จะให้พวกเขาเอาเปรียบ ไม่สู้ยกให้เจ้ายังดีเสียกว่า”
กล่าวเสร็จนางหยัดกายขึ้น ทอดสายตามองสีรัตติกาลนอกหน้าต่าง คิ้วดำขลับคู่นั้นพลันมุ่นขึ้นพลางกล่าวว่า “หลินสวิน อย่ามัวโอ้เอ้ เจ้าพาเสี่ยงฉงไปเดี๋ยวนี้เลยเถิด ข้าเป็นห่วงว่า… อีกไม่นานพวกเศษสวะหมาทมิฬที่จมูกไวพวกนั้นก็จะไล่ตามมาแล้ว”
หัวใจของหลินสวินเย็นเยียบ ไม่กล้าคิดวุ่นวายอีก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจากไปพร้อมกันได้”
ลิ่นเหวินจวินส่ายหน้า “ข้าต้องอยู่ต่อเท่านั้นจึงจะถ่วงเวลาหนีให้พวกเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจจากไปกันทั้งหมด”
กล่าวถึงตรงนี้นางก็หมุนกายหันมอง จับจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด ยิ่งไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี เมื่อถึงเขาบรรพตเขียวที่แคว้นหงส์สถิตแล้วพวกเจ้าก็จะปลอดภัย จำเอาไว้ จะต้องคุ้มครองเสี่ยวฉงให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้นางตกสู่เงื้อมมือเศษสวะหมาทมิฬพวกนั้นได้เด็ดขาด!”
นี่เหมือนกับการฝากฝังสั่งความครั้งสุดท้ายไม่มีผิด ทำให้ในใจหลินสวินหนักอึ้งอยู่บ้าง
เขาไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ หญิงที่สง่างามไร้ทัดเทียม รูปโฉมงดงามเรียกได้ว่าล่มแคว้นล่มเมืองอย่างลิ่นเหวินจวิน สถานการณ์ของนางกลับอันตรายและบีบคั้นเช่นนี้
และคิดไม่ถึงเลยว่า เพราะซย่าเสี่ยวฉง นางถึงขนาดยอมเลือกอยู่ต่อ…
เห็นได้ชัดว่านางเตรียมใจเสียสละเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!
……
รัตติกาลมืดสนิท บนท้องถนนคลาคล่ำเหมือนอดีต โคมไฟดุจดั่งมังกร
ในโรงน้ำชากลิ่นอายเก่าแก่แห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับโรงเตี๊ยม โม่เฟิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยอาการแน่นิ่ง น้ำชาในถ้วยเย็นชืดแล้วแต่เขากลับไม่รู้ตัว
เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยดื่มมันเลยสักคำ
สภาพจิตใจหนักอึ้ง นี่คือสภาพคร่าวๆ ของโม่เฟิงในเวลานี้
‘ใครจะไปคาดคิด ความแข็งแกร่งของเจ้านั่นถึงกับน่ากลัวได้ขนาดนี้…’
ในสมองหวนนึกถึงทุกๆ ฉากที่ได้เห็นบนลานประลองยุทธ์หมอกสนในวันนี้ และยังคงทำให้โม่เฟิงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างหนึ่ง
อะไรคือผู้กล้าไร้เทียมทาน
เมื่อก่อนโม่เฟิงก็เคยได้ยินมาไม่น้อย ทว่าจนบัดนี้เขาเพิ่งได้เห็นกับตาตัวเอง ความสง่างามของผู้กล้าไร้เทียมทานที่แท้จริง!
ในโรงน้ำชา ไม่ขาดแคลนผู้ฝึกปราณ ต่างพูดคุยอย่างออกรสเกี่ยวกับศึกประลองบันลือโลกฉากนั้นในวันนี้ และคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของหลินสวินและเด็กสาวชุดดำไม่ขาดสาย
หัวใจโม่เฟิงไหววูบ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากข้าโพล่งออกไปในตอนนี้ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่พวกเขาพูดถึงกันตอนนี้ก็อยู่ในโรงเตี๊ยมตรงข้ามเยื้องออกไปนี่เอง จะสร้างความฮือฮาที่ยากจะคาดเดาฉากหนึ่งขึ้นหรือไม่
บางทีโรงเตี๊ยมนั้นอาจจะถูกกลุ่มคนผู้บ้าคลั่งเหยียบราบเลยกระมัง
ยิ่งคิดโม่เฟิงก็ยิ่งละเหี่ยใจ เดิมทีเขาก็นับว่าเป็นคนมากสามารถในหมู่คนรุ่นใหม่แห่งสำนักมุกวิญญาณ มีตำแหน่งและฐานะที่ทำให้ผู้คนอิจฉา มีเส้นทางในอนาคตที่เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ทว่า…
หานเหยียนเชวียไม่ใช่คนโง่ ยามย้อนกลับมานครเตโชเขาก็ได้ยินเรื่องศึกดังกล่าวแล้ว อย่างไรเสียผลกระทบของมันก็ใหญ่หลวงเกินไป ทุกหัวระแหงต่างวิจารณ์กัน จึงยากที่จะไม่รู้
ยามนั้นแม้แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ ชายหญิงคู่นั้นจะต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทานเป็นแน่ ถ้าหากเป็นผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณได้จะดีขนาดไหนกัน…
“เหตุใดถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา” หานเหยียนเชวียรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือเจ้าเด็กนี่แหละขอรับ!”
โม่เฟิงโพล่งความจริงออกมาแล้ว ทำให้หานเหยียนเชวียแข็งทื่อไปทั่วตัว เกือบขว้างถ้วยชาในมือออกไป ภายในใจเกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นมา
ครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง แรกเริ่มตอนอยู่ที่ยอดเขาดาราโรย เขาก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้ว เหตุใดข้าจึงคาดไม่ถึง…”
โม่เฟิงลังเลอยู่สักพักก่อนกล่าว “อาจารย์ ข้าคิดว่าในเมื่อเด็กนี่โดดเด่นและไม่ธรรมดาขนาดนี้ จะต้องไม่ใช่พวกคนธรรมดาสามัญเป็นแน่ กระทั่งเป็นไปได้ว่าอาจมีที่มาที่พวกเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรา…”
คล้ายรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหานเหยียนเชวียขัด “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรที่เรียกว่าแนวโน้มและโอกาส”
แนวโน้ม?
โอกาส?
โม่เฟิงหมายจะพูดแต่ก็หยุด ท้ายที่สุดก็ทอดถอนใจ เขามองออกแล้วว่าอาจารย์แน่วแน่มาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก
เพียงแต่เขายังคงไม่เข้าใจ การระดมยอดฝีมือและผู้อาวุโสในสำนักตั้งมากมายขนาดนี้ ขนาดแม้แต่ท่านผู้ก่อตั้งก็ยังถูกเชิญมาด้วย ก็เพื่อสิ่งที่เรียกว่าแนวโน้มและโอกาสหรือ
ส่วนหานเหยียนเชวียกลับพึมพำในใจ การฆ่าเจ้าเด็กนี่ตายบางทีอาจทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นบางส่วน แต่ถ้าหากสามารถครอบครองยานสมบัติที่ประหนึ่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมือของมันลำนั้น ไอรีนโนเวล ต่อให้จ่ายค่าตอบแทนไปบ้างก็คุ้มค่า!เนื่องจากนี่เป็นถึงสมบัติชิ้นหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มให้สำนัก ทำให้สำนักมุกวิญญาณแข็งแกร่งจนไปถึงจุดสูงสุดแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีได้!
มิเช่นนั้นมีหรือท่านผู้ก่อตั้งซุนฮวนจะถูกเชิญมาด้วย
โอกาสมีเพียงครั้งเดียว จะต้องคว้าไว้ให้จงได้!
สนไปไยว่าเขาจะเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานอะไร อย่างไรเสียก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งมีปราณระดับหยั่งสัจจะ บางทีอาจจะทัดทานมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่ขอเพียงราชันกึ่งระดับออกโรง ก็ย่อมประสบหายนะเป็นแน่
ตอนนั้นอีกเพียงนิดเดียวอสูรเฒ่าเครือเถาก็เกือบจะฆ่าเจ้าเด็กนี่แล้ว!
“โม่เฟิง ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยคลุกคลีกับเขาอยู่หลายครั้งหรอกหรือ คิดวิธีเรียกให้เจ้าเด็กนี่ออกจากนครเตโชสักวิธีสิ!”
หานเหยียนเชวียสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เอ่ยกำชับเสียงเบา แทนที่จะบอกว่ากำชับ อันที่จริงไม่ได้ต่างอะไรกับคำสั่งเลย เผยกลิ่นอายที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
โม่เฟิงแข็งทื่อไปทั้งตัว ในใจเริ่มฝาดเฝื่อนขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์