นอกหน้าต่างมืดสนิทดั่งสีหมึก แสงโคมริบหรี่เหลือเพียงแสงแหว่งเว้า
ลิ่นเหวินจวินยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงหน้างามนิ่งสงบไร้วิตก นัยน์ตาเรียวชี้เปี่ยมความคั่งแค้นเยียบเย็นเสียดกระดูก
แม้ยังไม่อาจยืนยันร่องรอยศัตรู แต่ในฐานะคู่ต่อสู้ซึ่งโรมรันกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาหลายปี สัญชาตญาณลิ่นเหวินจวินบอกนางว่าพวกสวะหมาดำนั่นมาถึงแล้ว!
“เสี่ยวฉง พวกเจ้ารักษาตัวด้วย…”
ลิ่นเหวินจวินสูดหายใจลึก เงาร่างวาบกะพริบหายไปนอกหน้าต่าง ร่างอ่อนช้อยงดงามส่องระยับท่ามกลางรัตติกาลไร้ขอบเขต
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ปกปิดเงาร่างแม้แต่น้อย
เพียงชั่วขณะ ตรอกถนนที่เงียบเชียบมืดมิดซึ่งอยู่ห่างไกลก็แว่วเสียงสุนัขหอน
จากนั้นขบวนวิญญาณมายาทมิฬปรากฏตัวอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ไล่ตามไปยังทิศทางที่ลิ่นเหวินจวินหนีไปอย่างรวดเร็ว
…
ชานเมือง ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า ยอดเขาแน่นขนัด
ซย่าเสี่ยวฉงที่กำลังเดินผ่านป่าพลันเหลียวหลัง กล่าวระคนสงสัย “พี่หลินสวิน ทำไมข้าเหมือนได้ยินเสียงหมาป่าหอน น่ากลัวชะมัด”
นัยน์ตาดำหลินสวินวาบแววยะเยือก กล่าวอืมคำหนึ่งแล้วกล่าว “อย่าสนเรื่องพวกนี้เลย พวกเรารีบไปเถอะ”
เขารู้ว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬปรากฏกายแล้ว และลิ่นเหวินจวิน… คงเริ่มหลบหนีอย่างไม่รู้เป็นตายร้ายดี
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักถึงปัญหาที่ละเลยไปก่อนหน้านี้กะทันหัน ที่ลิ่นเหวินจวินทำเช่นนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่
พริบตานั้นเขาก็หันมองซย่าเสี่ยวฉงซึ่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวหน้าตาไร้เดียงสากะพริบดวงตาโตใสสะอาด กำลังจับจ้องดอกไม้ใบหญ้าที่เห็นระหว่างทางอย่างสงสัย เห็นได้ว่าใสซื่อบริสุทธิ์นัก
หลินสวินเข้าใจแล้ว
เขานึกถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นยังคุกใต้เหมืองปีนั้น ตอนนั้นท่านลู่เองทำเช่นนี้ มอบโอกาสรอดชีวิตเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่แก่ตน…
ยามนี้การกระทำของลิ่นเหวินจวินเกือบเหมือนท่านลู่ทุกประการ ทั้งหมดล้วนเพื่อให้ซย่าเสี่ยวฉงมีโอกาสรอด!
“สหายน้อยโปรดหยุดก่อน”
ทันใดนั้นเสียงอบอุ่นหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล
หลินสวินชะงักฝีเท้าทันที ส่วนลึกของนัยน์ตาดำวาบแสงเย็นเยียบ
เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายชราชุดดำหน้าตาภูมิฐาน ท่าทางสง่างามดุจเซียนคนหนึ่ง ลอยล่องมาในรัตติกาลที่ห่างไกล
ยอดมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง!
หลินสวินตัดสินปราณฝ่ายตรงข้ามออกในพริบตา ทั้งแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ และไม่ได้มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ
ชายชรายั้งฝีเท้านอกระยะสิบกว่าจั้ง ไม่ประชิดเข้าใกล้อีก ยิ้มแย้มกล่าวอบอุ่น “สหายน้อยอย่าได้ตื่นตระหนก ข้าน้อยหานเหยียนเชวียมาจากสำนักมุกวิญญาณ มาโดยพลการเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาสหายน้อย”
สำนักมุกวิญญาณ?
นี่ไม่ใช่สำนักที่โม่เฟิงอยู่หรอกรึ
หลินสวินเหลียวมองซย่าเสี่ยวฉง ฝ่ายหลังพยักหน้ากล่าว “พี่หลินสวิน หลายวันก่อนหลังการทดสอบใหญ่รวมสำนักสิ้นสุด ข้าเคยพบผู้อาวุโสท่านนี้”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ในใจกลับยังระแวดระวัง ดึกดื่นยามวิกาลตาแก่นี่กลับวิ่งมากะทันหัน บอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษาตน เห็นชัดว่าพูดเหลวไหล
ต่อให้เป็นเรื่องสลักสำคัญขนาดไหน ต้องถึงขั้นวิ่งมาทุ่งรกร้างนอกชานเมืองเพื่อพบตนยามวิกาลด้วยหรือ
เรื่องผิดแปลกมักมีสิ่งประหลาดอยู่เบื้องหลัง!
หลินสวินแม้ยังเยาว์ แต่นับจากบำเพ็ญเพียรมาก็พบเจอเหตุนองเลือดและอันตรายไม่รู้เท่าไหร่ ประสบการณ์อันจัดเจนคือสิ่งที่คนรุ่นอาวุโสทั่วไปไม่อาจเทียบ
เขาไม่ต้องคิดก็รู้แต่แรก หานเหยียนเชวียนี่มีปัญหา!
“ขออภัย ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์คุยธุระ เชิญกลับไปเถอะ” หลินสวินบอกปัดโดยตรง ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายเอ่ยปากสักนิด
ซ้ำพูดจบเขาก็พาซย่าเสี่ยวฉงจากไปทันที ไม่สนใจหานเหยียนเชวียแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าไร้มารยาทยิ่ง
นี่ทำเอาหานเหยียนเชวียตะลึงงัน ปากกลับยิ้มกล่าวแม้เดือดดาลอยู่ในใจ “สหายน้อย นี่เป็นเรื่องประเสริฐยิ่ง เจ้าปฏิเสธเช่นนี้ไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ”
ขณะพูดเขาก็ก้าวตามมา
หลินสวินพลันหยุดเท้า กล่าวโดยไม่หันกลับ “หากเจ้ายังกล้าตามมา อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
น้ำเสียงเรียบสงบกลับแฝงไอสังหารเด็ดขาด พาให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บและตึงเครียดทันที
สีหน้าหานเหยียนเชวียเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มนี่จะระแวดระวังและป้องกันเช่นนี้ ไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้โดยสิ้นเชิง
“สหายน้อย นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าหวังดีมาผูกไมตรีกับเจ้า แต่เจ้ากลับพูดจาข่มขู่ข้า นี่ออกจะเกินงามและไร้มารยาทไปหน่อยกระมัง” สีหน้าเขาพลันอึมครึม
หลินสวินหาได้ใส่ใจเขา แต่เร่งเท้าก้าวจากไปเร็วขึ้น
นี่ทำให้หานเหยียนเชวียโมโหตามไปด้วย สีหน้าเปลี่ยนเป็นทะมึนยิ่งยวด กล่าวเย็นชา “สหายน้อย หากเจ้าไม่หยุดอีก ระวังมหันตภัยจะมาเยือน!”
“ไสหัวไป!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์