เล่าลือว่าสัตว์ตัวนี้ถึงขั้นสามารถสื่อสารกับสัจจะแห่งมหามรรคฟ้าดิน!
และ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ มรดกวิชาลับส่วนนี้คือวิชาลับประหลาดที่ใช้หยั่งรู้สรรพวิญญาณในฟ้าดิน ผสานตัวของตนและธรรมชาติเข้าด้วยกัน
หลังฝึกวิชาลับนี้ สภาวะจิตจะเชื่อมหมื่นมายา ดวงจิตและฟ้าดินจะขานรับซึ่งกันและกัน ทำให้ยามฝึกผู้ฝึกปราณสามารถหยั่งถึงร่องรอยของมหามรรคได้ตามธรรมชาติ!
นี่คือความน่าอัศจรรย์เหลือประมาณ
การแจ้งมรรค!
แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ยังไม่เคยเห็นใครสามารถหยั่งรู้และควบคุมพลัง ‘เจตจำนงแห่งมรรค’
ถึงอย่างไรมหามรรคก็ไร้นาม ไร้รูป ไร้ลักษณ์ เลือนรางและคลุมเครือเกินไป ในบรรดามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติพันคน ผู้ที่สามารถหยั่งถึงปริศนาและแก่นแท้ของมันยังไม่เห็นมีสักคน เรียกได้ว่าไร้หนึ่งในพัน หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน
แต่หากมี ‘ดวงใจฉิวหนิว’ แน่นอนว่ายิ่งสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณหยั่งถึงร่องรอยแห่งมหามรรค
จากตรงนี้แค่คิดก็รู้แล้วว่า วิชาลับส่วนนี้สะเทือนใต้หล้าและอัศจรรย์ระดับใด!
…
“สวรรค์มีเมตตา ในเมื่อเจ้ามาเจอข้าในเวลานี้ นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
หลินสวินจิตใจกระจ่างว่างเปล่า โยนขาสุนัขดำขนาดใหญ่ให้เสือดาวโลหิต
“ไปเถอะ”
เขาสะบัดมือ หมู่ดาราส่องประกายเหนือฟ้า ประพรมแสงเย็นสะอาดอาบไล้เงาร่างสง่างามปลีกโลกา
เห็นชัดว่าเสือดาวโลหิตตะลึงงัน ก่อนส่งเสียงครวญทุ้มต่ำราวมีสติปัญญา คุกเข่าลงกับพื้นก้มหัวให้หลินสวิน
จากนั้นมันจึงคาบขาหมาดำมหึมานั่น แล้วหันหลังหายไปท่ามกลางรัตติกาล
กระรอกน้อยยังหลับสนิท หางใหญ่โตอ่อนนุ่มปุกปุยคลุมบนร่าง จมูกส่งเสียงกรนครอกๆ
หลินสวินกลับเคี่ยวเข็ญและหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของดวงใจฉิวหนิว
หลายวันก่อน เมื่อเขาเข้าใจปริศนาทั้งมวลแห่งนัยน์ตาเฉาเฟิงอย่างลึกซึ้งในที่สุด จึงเริ่มสัมผัสปริศนามรดกร่างสุดท้ายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร
และค่ำวันนี้ เพิ่งเริ่มเปิดประตูของวิชาอัศจรรย์นี้ ก็พบความเล็กน้อยแล้ว
‘คิดไม่ถึงว่าวิชาลับส่วนนี้จะเหนือคาดเช่นนี้ เมื่อมีมันก็สามารถจัดการอุปสรรคในการฝึกแจ้งมรรคของข้าพอดี!’
นัยน์ตาดำของหลินสวินผ่องแผ้ว ส่องประกายสุกสกาวใต้แสงดารา
ปัจจุบันช่องโหว่สุดท้ายที่เขาต้องเติมเต็มเพื่อเลื่อนระดับสู่ระดับกระบวนแปรจุติ คือระดับขอบเขตแจ้งมรรค
สี่ฤดูหมุนสลับ รุ่งโรจน์เสื่อมถอยปรวนแปร ตะวันเด่นจันทราคล้อย กลางวันเปลี่ยนกลางคืนแทน มีขึ้นย่อมมีลง… นี่คือลักษณ์แห่งสรรพสิ่ง
สรรพสิ่งล้วนมีลักษณ์ ลักษณ์คือว่างเปล่า พื้นฐานคือมรรค สะท้อนให้เห็นถึงฟ้าดิน อันเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค เผยแสดงการสับเปลี่ยนแห่งสรรพสิ่งตามลำดับ หมุนเวียนเป็นวัฏจักร
นี่ก็คือท่วงทำนองแห่งมรรค ร่องรอยแห่งอัคคีซึ่งลุกโหมโชติช่วง ร่องรอยแห่งพฤกษาซึ่งพลังชีวิตสืบเนื่อง ร่องรอยแห่งทองซึ่งดุดันหาใดเปรียบ…
ร่องรอยแห่งสรรพสิ่งล้วนเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค สื่อถึงกลิ่นอายแห่งมรรคประการหนึ่ง สอดประสานทั่วฟ้าดิน เปี่ยมแน่นทุกหัวระแหง
ด้วยมันอัศจรรย์ไร้รูป จึงไม่อาจบรรยาย
ก่อนก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ หลินสวินก็หยั่งรู้และครอบครองท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังค้างอยู่ในระดับท่วงทำนองแห่งน้ำขั้นสมบูรณ์ ไม่อาจทะลวงไประดับ ‘เจตจำนงแห่งมรรค’
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าควรจัดการอุปสรรคนี้อย่างไร แต่ยามนี้มีดวงใจฉิวหนิว ทำให้เขามองเห็นความหวังโดยไม่ต้องสงสัย!
‘รอแค่ยึดกุมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำได้ ก็ไม่ต้องสะกดข่มระดับปราณ เตรียมเลื่อนสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้…’
หลินสวินพึมพำในใจ เฝ้ารอคอยเต็มที่ เขาค้างอยู่ระดับหยั่งสัจจะนานเกินไปแล้ว!
สวบ!
ทันใดนั้นในบริเวณที่ห่างไปไกลมีเงาร่างวูบไหว เสือดาวโลหิตตัวนั้นหวนกลับมา ปากยังคาบท่อนสำริดสนิมเขรอะกระดำกระด่างท่อนหนึ่งมาด้วย
หลินสวินชะงัก ก็เห็นเสือดาวโลหิตวางท่อนสำริดลงบนพื้นอย่างระมัดระวังยิ่งก่อนหันหลังจากไป เห็นชัดว่านี่คือ ‘การตอบแทน’ ของมันอย่างหนึ่ง
นี่ทำหลินสวินไหวหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ‘แพะมีจิตพินอบเทิดทูนน้ำนม อีกามีคุณธรรมกตัญญู คิดไม่ถึงว่าเสือดาวโลหิตก็รู้จักตอบแทนบุญคุณข้าด้วย…’
เขาหยิบท่อนสำริดสนิมเขรอะด่างพร้อยนั่นขึ้นมา ก็เห็นว่าสิ่งนี้หนักอึ้ง ขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ ปกคลุมด้วยสนิมทองแดงสีเขียวเข้มชั้นหนึ่ง คล้ายเป็นเศษเสี้ยวสมบัติบางอย่าง
หลินสวินออกแรงที่นิ้วกำจัดสนิมเหล่านี้ เผยโฉมหน้าดั้งเดิมของท่อนสำริดออกมา จากนั้นนัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
ท่อนสำริดดูแล้วธรรมดายิ่ง แต่ด้านบนสลักภาพชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งนั่งบนหลังวัวเขียว ท่าทางผ่อนคลายกำลังแหงนมองฟากฟ้า
ภาพดูเรียบง่าย คล้ายผ่านการกัดกร่อนแห่งเวลาอันไร้สิ้นสุด บางส่วนมัวจางเลือนราง แต่เมื่อหลินสวินมองไปกลับรู้สึกถึงแรงกดดันยิ่งใหญ่ที่พุ่งปะทะใบหน้า!
แรงกดดันมหาศาลนั่นแผ่กว้างราวไร้จำกัด ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ชั่วพริบตาหลินสวินรู้สึกราวกับว่าชายชราขี่วัวเขียวนั่นคล้ายดั่งมีชีวิต นัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางตน
นั่นมันดวงตาอะไรกัน
ล้ำลึกราวจักรวาล สะท้อนลักษณ์แห่งสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย กาลเวลาผันเปลี่ยน ความลับของมหามรรค ทุกอย่างเสมือนปรากฏอยู่ภายใน!
เฉือก!
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก จิตใจสั่นสะท้าน รู้สึกยำเกรงปานปรารถนาจะคุกเข่ากราบไหว้ ไม่อาจจินตนาการเกินไปแล้ว
แต่เมื่อเขามองโดยละเอียดอีกครั้ง ลักษณ์ประหลาดเมื่อครู่เสมือนระเหยหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าหลินสวินจะหยั่งเชิงอย่างไรก็ไม่พบสิ่งใดอีก
นี่ทำให้หลินสวินมึนงง ภาพของนักพรตขี่วัวทำไมถึงสลักลงบนท่อนสำริด สิ่งนี้คงมีความเป็นมาใหญ่หลวง!
หลินสวินลุกขึ้น กระรอกน้อยที่หลับสนิทพลันตกใจตื่นร้องเสียงแหลม พลิกตัวหนีลับราวหมอกควัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์