วู้ม!
ในมือของเขา ขวดเล็กขนาดเท่านิ้วโป้ง ขาวเปล่งปลั่งราวหยกมันแพะขวดหนึ่งระเบิดแสงยุ่งเหยิง แผ่คลื่นแปลกประหลาดออกมา
พลังต้องห้ามที่พรั่งพรูออกมาจากทั่วสารทิศยังไม่ได้เข้าใกล้ ก็ถูกขวดเล็กกลืนกินจนหมดอย่างเงียบเชียบ อัศจรรย์หาใดเทียบ
ขวดมหามรรคสุดหยั่ง!
หลินสวินสีหน้าพิกลไปบ้าง เดิมเขาเพียงคิดลองดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าขวดเล็กอัศจรรย์นี้ยังบรรจุพลังต้องห้ามของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ด้วย!
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเร้นลับและอานุภาพที่พลังโจมตีของค่ายกลนี้กับตัวกระบวนรอยสลักวิญญาณมี ล้วนถูกขวดเล็กบรรจุเข้าไปอย่างเงียบๆ
“เป็นของดีดังคาด ไม่เพียงสามารถกลืนกินการโจมตี สะสมอานุภาพ ยังสามารถบรรจุพลังของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ นี่น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว…”
หลินสวินทอดถอนใจในใจ ขวดมหามรรคสุดหยั่งเป็นรางวัลพิเศษที่ได้มาในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง เป็นของล้ำค่าอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนสิ่งใดในโลกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่กระทั่งตอนนี้ หลินสวินยังไม่ได้สืบดูคุณประโยชน์ทั้งหมดของขวดนี้ได้
หืม?
หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่า ระหว่างที่กลืนกินพลังลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวขวดที่โปร่งแสงแวววาวนั้นบังเกิดลวดลายมรรคแปลกประหลาดคลุมเครือไม่ชัดเจน
ในขณะเดียวกันขวดเล็กก็เริ่มร้อนขึ้น สั่นระรัวเสียงดังหึ่ง ดั่งมีทีท่าจะอิ่มตัว เหมือนน้ำเต็มขวดกำลังจะไหลทะลักออกมา
ทว่าเมื่อหลินสวินลองใช้พลังจิตรับรู้ของตนไปควบคุม จู่ๆ ขวดเล็กก็ไม่สั่นอีก ท่าทางเหมือนจะสงบนิ่ง ตัวขวดปรากฏสีเขียวเจิดจ้า
พลังกลืนกินของมันยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกล้า ภายในขวดราวสุดหยั่ง การโจมตีต้องห้ามที่ปะทุจากทุกสารทิศล้วนถูกกลืนกินเข้าไปประหนึ่งเมฆเว้าแหว่งที่ถูกลมพัดตลบ
ในใจหลินสวินตระหนักได้อย่างหนึ่ง
ขวดมหามรรคสุดหยั่งไม่ได้ไม่ต้องควบคุม กลับกัน หากคิดจะสำแดงอานุภาพของมัน การควบคุมพลังจิตวิญญาณเป็นกุญแจสำคัญ!
…….
“ตายหรือยัง”
นอกกระบวนผนึกมรรคราชัน ซาหลิวฉานกระวนกระวายอยู่บ้าง พลานุภาพของกระบวนผนึกมรรคราชันแม้น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่เช่นเดียวกัน เมื่อควบคุมกลับเปลืองพลังถึงที่สุด
หากเปลี่ยนเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หรือผู้แข็งแกร่งระดับราชันควบคุม นั่นย่อมทำได้ดั่งใจโดยไม่ต้องคิดมาก
แต่ไม่ว่าจะเป็นซาหลิวฉาน หรือพวกชิงเหลียนเอ๋อร์ ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ แต่อย่างไรเสียก็มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น แม้จะร่วมมือกันควบคุมค่ายกลใหญ่ แต่เวลาผ่านมานานแล้วย่อมกินแรงไปไม่น้อย
“ยัง”
ใบหน้างามล้นของชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่สู้ดีเช่นกัน นางหอบหายใจเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวไปบ้าง เริ่มทานทนไม่ไหวแล้ว
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าอึมครึม สังหรณ์ใจไม่ดี
นี่เป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชันเชียวนะ!
แต่เหตุใดกระทั่งตอนนี้กลับยังฆ่าเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งไม่ได้
“ชิงเหลียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังหลอกพวกเราใช่หรือไม่ ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังของข้ายิ่งหมดไปอย่างรวดเร็วเสียล่ะ” ซาหลิวฉานคำราม
“หุบปาก! นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเจ้าเล่ห์เหมือนเทพมารหลินนั่นหรือ” ชิงเหลียนเอ๋อร์นิ่วหน้า หงุดหงิดใจนัก
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องถึงหนึ่งเค่อ ในหมู่พวกเราไม่ว่าใครก็ยืนหยัดไม่ไหว ต้องหมดแรงแน่!” จงหลีอู๋จี้สูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองเยือกเย็น
“ยัง… ทนต่อไปอีกหน่อยเถอะ…” เวลานี้ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว แต่ในที่สุดก็ยังกัดฟัน
“งั้นก็สู้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน” จงหลีอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลินสวินถูกกักขังก็เรียกได้ว่ายินดีปรีดาราวเสียสติ แต่ตอนนี้แต่ละคนกลับสีหน้าไม่สู้ดี ฉงนใจไม่แน่นนอน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดูท่าเหมือนจะไม่เข้าที” ดวงตาเย็นเยียบของเหลยเชียนจวินเปล่งประกายราวสายฟ้า
“ง่ายมาก นี่เป็นกระบวนผนึกมรรคราชัน มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันกับปฐมาจารย์สลักวิญญาณจึงจะสามารถใช้มันได้อย่างเต็มกำลัง พวกจงหลีอู๋จี้สลักรอยวิญญาณไม่เป็น พลังที่แท้จริงก็ห่างชั้นกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันไปไกลนัก จะเกิดช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา”
มู่เจี้ยนถิงแจกแจงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมว่าในมือของเทพมารหลินนี่มีสมบัติอริยะอยู่ จะถูกสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้นได้หรือ”
……
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กลุ่มผู้กล้าที่สังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปรับรู้ได้ว่าไม่ชอบมาพากล ว่ากันตามธรรมดาแล้ว ทันทีที่กระบวนผนึกมรรคราชันออกมา ก็สามารถชี้ชัดเป็นตายได้ในชั่วพริบตา
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปจะหนึ่งถ้วยชาแล้ว ผลลัพธ์กลับยังไม่ออกมาเสียที นี่ก็ดูผิดปกตินัก
“กระบวนผนึกมรรคราชันนั่นคงไม่ใช่ของเก๊ใช่ไหม”
ผู้แข็งแกร่งบางคนแคลงใจ วาจาที่พูดออกมากลับทำให้ชิงเหลียนเอ๋อร์แทบกระอักเลือด ของเก๊หรือ นี่เป็นถึงสมบัติโบราณที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวหลอมขึ้นเองกับมือ ดำรงมาถึงปัจจุบันไม่รู้นานเท่าไร!
“ก่อเรื่องเคลื่อนไหวใหญ่โตปานนี้ กลับเหมือนจุดประทัดอันหนึ่ง นี่… น่าอักอ่วนไปหน่อยหรือไม่” มีคนหยอกล้อ
อักอ่วนหรือ!
น่าอักอ่วนกับปู่เจ้าสิ!
ซาหลิวฉานโมโหจนอยากฆ่าคน ก่อเรื่องอะไรเล่า พวกเขากำลังฆ่าเทพมารหลินเชียวนะ ไม่ได้แสดงอยู่!
“เหอะๆ บุคคลแห่งยุคมากมายปานนี้ แถมวางกระบวนผนึกมรรคราชันด้วย กลับต่อกรกับเทพมารหลินคนเดียวไม่ได้ เหอะๆ… เหอะๆๆ…”
เสียงนี้แปลกพิกล โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนั้นเจือไปด้วยน้ำเสียงการเยาะเย้ย หยอกล้อ ประชดประชัน และเสียดสี
ครู่ต่อมาจงหลีอู๋จี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ดวงตาแผ่ไอสังหาร อยากจะบีบคอคนผู้นี้ให้ตาย
ขนาดมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินยังเริ่มนิ่วหน้า สถานการณ์เริ่มจะคุมไม่อยู่แล้ว คาดการณ์ได้ว่าคราวนี้หากปล่อยให้เทพมารหลินรอดชีวิตไปได้ เช่นนั้นคงขายหน้าใหญ่โตแน่
“ทุกท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” มู่เจี้ยนถิงเอ่ยถาม
……
โครม!
คลื่นของกระบวนผนึกมรรคราชันยิ่งน่ากลัวขึ้นแล้ว ประหนึ่งเตาเพลิงกลียุคที่จะหลอมสรรพสิ่งในฟ้าดินเตาหนึ่ง
พวกจงหลีอู๋จี้สีหน้าเหี้ยมเกรียม ในใจฮึกเหิมหาใดเทียบ เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะจบเสียที
มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเตรียมตัวพร้อม เก็บพลังไว้รอท่า เพียงรอหลังสังหารหลินสวิน ก็จะพุ่งไปช่วงชิงศุภโชคและสมบัติอริยะทันที
“เทพมารหลินทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงหรือ” ผู้แข็งแกร่งบางคนที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าแปรปรวน ความรู้สึกซับซ้อน
“สามารถทนอยู่ในกระบวนผนึกมรรคราชันมาถึงตอนนี้ได้ก็เรียกว่าน่าตะลึง หายากยิ่งในโลกแล้ว แม้จะถูกฆ่า กิตติศัพท์ของเขาก็จะต้องกึกก้องแดนฐิติประจิม”
“หืม? นั่นคือ?”
ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งหลายคนก็พบอย่างน่าตระหนกว่า กระบวนผนึกมรรคราชันนั้นยังคงโคจรพลุ่งพล่าน ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เงาร่างของหลินสวินกลับปรากฏอยู่นอกค่ายกลใหญ่…
……
“เทพมารหลิน คราวนี้เจ้าตายแน่แล้ว!” ซาหลิวฉานหัวเราะร่า แม้หายใจหอบกระชั้น พลังทั่วกายถูกใช้ไปเกินครึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกปิติและฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อหลินสวินตาย ก็เท่ากับชะล้างความอับอายต่างๆ ที่เขาประสบก่อนหน้านี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
“งั้นหรือ”
“แน่นอน ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้าจะตัดหัวให้มัน!”
พูดถึงตรงนี้ซาหลิวฉานก็ผงะไป จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จากนั้นเขาตกใจสะดุ้งโหยง ร้องตระหนกตกตะลึงอ้าปากค้างว่า “จะจะเจ้า… เจ้าออกมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ขะขะข้า… ข้าเพิ่งออกมาไง” ข้างกัน หลินสวินยิ้มแฉ่ง มือทั้งสองของเขาไพล่หลัง ทั้งกายโอบล้อมไปด้วยรัศมีกระจ่างเจิดจ้าราวภาพนิมิต
ทันใดนั้นซาหลิวฉานสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลายหาใดเทียบ ทั้งอึ้ง ทั้งขุ่นเคือง ทั้งอับอาย ทั้งตระหนกอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดหลินสวินถึงเดินออกมาจากกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย
“เจ้า!” พวกจงหลีอู๋จี้กับชิงเหลียนเอ๋อร์ก็งงงวยโดยสมบูรณ์ รู้สึกเหมือนเกิดภาพหลอน
นี่ดูพิสดารนัก นั่นเป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชัน เหตุใดถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ผู้แข็งแกร่งที่ดูอยู่ตลอดล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น ตกใจจนพูดไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ตูม!
ไม่ทันรอให้พวกเขาโต้ตอบ หลินสวินก็ออกโจมตีอย่างอุกอาจ เงาร่างพุ่งขึ้นมาโดยพลัน ชั่วพริบตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซาหลิวฉานที่อยู่ใกล้ที่สุด นิ้วมือกำรวบเป็นหมัด แล้วกำราบลงมาอย่างรุนแรงราวคีรีเทพตกลงมาจากสวรรค์
ปึง!
โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างของซาหลิวฉานพลันยุบลงไป กระดูกทั้งกายแหลกละเอียดดังกร๊อบๆ เลือดเนื้อกระเซ็นกระสาย จากนั้นก็แหลกสลายสะเทือนเลือนลั่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์