นอกกระบวนผนึกมรรคราชัน มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินยืนเคียงไหล่กัน หว่างคิ้วล้วนยังคงเต็มไปด้วยความอึมครึม
แม้ว่าจะขังหลินสวินไว้ได้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ในใจทั้งสองคนยังคงรู้สึกอับอายและโกรธเคือง
“เหอะๆ เจ้าเทพมารหลินก็ไม่เท่าไรนี่”
เงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินออกมาในบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง ถึงกับเป็นซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์
สีหน้าพวกเขาล้วนเจือไปด้วยความลำพองใจที่ยากปกปิด ในมือแต่ละคนถือแผ่นจานกระบวนแผ่นหนึ่ง แผ่นจานกระบวนแต่ละแผ่นสลักรอยสลักวิญญาณที่ต่างกันออกไป กำลังแผ่คลื่นรางเลือนควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันที่อยู่ไม่ไกล
“ที่คราวนี้จัดการเทพมารหลินได้ เพราะได้ท่านทั้งสองช่วยเหลือ” จงหลีอู๋จี้กุมมือคารวะ พูดกับพวกมู่เจี้ยนถิง
“ไม่ต้องเกรงใจ” มู่เจี้ยนถิงเอ่ยเนิบนาบ “พวกเราได้สิ่งที่แต่ละคนต้องการเท่านั้น”
จงหลีอู๋จี้พูดอย่างเคารพนบนอบว่า “พี่มู่วางใจได้ พวกข้าทำเพียงเพื่อฆ่าหลินสวิน ส่วนศุภโชคกับสมบัติอริยะที่อยู่กับตัวเขาย่อมเป็นของพวกท่านสองคน”
สีหน้ามู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินถึงค่อยดีขึ้นมาก
เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนล่วงหน้า แอบร่วมมือกันอยู่ก่อนแล้วในหมู่พวกเขา พวกจงหลีอู๋จี้ต้องการสังหารหลินสวิน ส่วนมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินก็ต้องใจศุภโชคกับสมบัติอริยะที่อยู่กับตัวหลินสวิน!
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ ค่ายกลนี้จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
ซาหลิวฉานที่อยู่ข้างกันนิ่วหน้าถาม เขาออกจะกังวล ตื่นตระหนกกับพลังต่อสู้ของหลินสวินเข้าจริงๆ แล้ว ทำให้เขาหวาดกลัวหลินสวินอย่างบอกไม่ถูก
“วางใจได้ ค่ายกลนี้มีนามว่า ‘จตุลักษณ์ราชัน’ ก่อตัวขึ้นมาจากธงรบจตุลักษณ์หนึ่งร้อยแปดผืนที่บรรพชนเผ่าข้าหลอมขึ้นเองกับมือ ทันทีที่ถูกกักอยู่ในนั้น ก็เหมือนกักขังมังกรคลั่ง แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็หลุดจากการคุมขังไม่ได้!”
ชิงเหลียนเอ๋อร์พูดอย่างไม่ลังเล ดวงตากระจ่างฉายแววหยิ่งผยอง นางรู้อานุภาพของกระบวนผนึกมรรคราชันชิ้นนี้ดี
ทุกคนใจสงบลงอย่างยิ่ง
“เฮอะ คราวนี้เทพมารหลินก็หนีเคราะห์ยากแล้ว” เสียงซาหลิวฉานชิงชังและลำพองใจ สะใจที่ได้แก้แค้น
“หากไม่ใช่เพื่อเร่งรีบชิงมหาโชค ก็ไม่ต้องลำบากแม่นางเหลียนเอ๋อร์นำค่ายกลนี้ออกมา ข้าจะสั่งสอนมันว่าจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร!”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าหยิ่งผยอง
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา กลับเป็นมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินที่ชิงชังและหงุดหงิดในใจ หากเทพมารหลินอ่อนแอขนาดนั้น จะกำราบพวกเขาสองคนจนเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ได้อย่างไร
แต่จงหลีอู๋จี้กลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ มาเทียบกันเช่นนี้แล้ว ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาสองคนยังเทียบกับจงหลีอู๋จี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
มู่เจี้ยนถิงพูดอย่างงุ่นง่านว่า “อย่ามัวพูดพร่ำเลย รีบฆ่ามันเสีย เวลากระชั้นแล้ว”
ดอกตูมสำริดเหล่านั้นที่เหลืออยู่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณใช้เวลาไม่นานก็จะเบ่งบาน เขาไม่อยากเสียเวลาตอนนี้
“ที่พี่มู่พูดมาถูกต้องอย่างยิ่ง”
ระหว่างที่จงหลีอู๋จี้พูด ก็เริ่มโคจรแผ่นจานกระบวนของแต่ละคนร่วมกับซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์
โครม!
รัศมีเทพอบอวล รอยสลักวิญญาณผันผวน
ค่ายกลใหญ่จตุลักษณ์ราชันดุจฟื้นตื่นจากความเงียบงัน ไอสังหารแผ่ขยายออกมาสะท้านคลื่นลม
ชั่วขณะนั้น พื้นที่สี่ทิศเหนือค่ายกลใหญ่ก็มีปรากฏการประหลาดยิ่งใหญ่มากมายอย่างเสือขาวโลดแล่น วิหคชาดโผบิน มังกรเขียวยึดครอง เต่าดำชูคอ แผ่คลื่นต้องห้ามที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันขวัญผวาได้ออกมา
…….
“สวรรค์! นี่เป็นค่ายกลใหญ่สะท้านโลกาชั้นไหนกัน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว เทพมารหลินอยู่ในนั้นจะรอดชีวิตกลับมาไหม”
ไกลออกไปมีผู้แข็งแกร่งมากมายรีบรุดมา เมื่อได้เห็นทุกอย่างนี้ล้วนตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน หน้าเปลี่ยนสียิ่ง
“นี่เป็นกับดักอันหนึ่ง บุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันวางขึ้น จะสังหารเทพมารหลินในครั้งเดียว!”
บางคนสังเกตเห็นว่านอกค่ายกลใหญ่นั้น จงหลีอู๋จี๋กับพวกมู่เจี้ยนถิงและเหลยเชียนจวินรวมตัวกัน นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงทุกอย่างให้ชัดเจนแล้ว
‘เทพมารหลินจะเสียท่าแล้ว…’
ทั้งมีผู้แข็งแกร่งหลายคนทอดถอนใจในใจ
เทพมารหลินเป็นคนโดดเด่นไร้เทียมทานปานไหน ทะลวงจากโลกชั้นล่างมาเพียงลำพัง หัวเดียวกระเทียมลีบ อาศัยเพียงพลังของตัวเองคนเดียวก็ก่อกวนคลื่นลมในแดนฐิติประจิม ผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าวในหมู่คนรุ่นเยาว์
บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ ตอนนี้กลับจะสิ้นชีพบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ นี่ย่อมพาให้ผู้อื่นเห็นใจและสงสาร
……
ในกระบวนผนึกมรรคราชันเป็นทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง
จากการโคจรค่ายกลใหญ่ รอยสลักวิญญาณแปรปรวนราวธารดารา ไหลรินลงมาท่วมค่ายกลใหญ่ทั้งค่ายให้จมลง ภายในนั้นเกิดทิวทัศน์วันโลกาวินาศอย่างสายฟ้าไหววูบอสนีคำรามร้อง เพลิงแรงกล้าโหมกระหน่ำ สายน้ำม้วนตลบ หินผากลิ้งร่วง
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น เกรงว่าคงสิ้นหวังไปก่อนแล้ว เพราะที่นี่ไม่อาจหลบหนีได้ ทำได้เพียงรอความตายเหมือนสัตว์ที่ถูกกักขัง
แต่ในสายตาของหลินสวิน การโจมตีทุกอย่างนี้เป็นเพียงสิ่งที่แปรสภาพจากค่ายกลต่างกันไป แม้รางเลือนและน่าพิศวง น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่ไม่ได้ไม่มีช่องโหว่
สวบ!
ในชั่วพริบตาที่ค่ายกลใหญ่โคจร หลินสวินก็เคลื่อนไหว หายตัวต่อเนื่องในค่ายกลใหญ่ด้วยความเร็วอัศจรรย์ราวสายฟ้า
เปรี้ยง!
พายุสายฟ้าเจิดจ้าแสบตาไหลบ่า ดูเหมือนไม่อาจต้านทานได้ พาให้ผู้อื่นสิ้นหวัง แต่หลินสวินยื่นแขนออกไปแตะเบาๆ ในห้วงอากาศ
ทันใดนั้นพายุสายฟ้าอันมืดฟ้ามัวดินนั้นก็พลันพังทลาย มลายหายไปราวถูกแทงจุดตาย
หลินสวินถือโอกาสนี้หายตัวหลบหนีไปก่อนแล้ว
นั่นคือการโจมตีที่แปรสภาพมาจาก ‘กระบวนค่ายกลสายฟ้าสลาตันพันมายา’ ควบคุมด้วยพลังเสือขาวที่เป็นหนึ่งในสี่ลักษณ์ พลังสังหารน่าตื่นตระหนก
เพียงแต่สำหรับหลินสวินแล้ว การสลายค่ายกลเช่นนี้ไม่เปลืองแรงเท่าไรเลย
ตำแหน่งปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเขาไม่ได้มาจากการคุยโว!
ก่อนหน้านี้ในจักรวรรดิจื่อเย่า ขนาดสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันยังเป็นฝ่ายมาหาหลินสวินเอง ด้วยหวังว่าเขาจะช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณให้ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินจะกลัวได้อย่างไร ไม่แน่บางทีกระบวนผนึกมรรคราชันนี้อาจสามารถสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ แต่กลับไม่รวมถึงเขาหลินสวิน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์