ตอน ตอนที่ 920 มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่ จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 920 มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
มันเหมือนตื่นจากความเงียบ พลังอำนาจที่ระเบิดออกมาขณะนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนอยู่ในมืออวี่หลิงคง
ทำให้ผู้คนแค่มองจากที่ห่างไกลก็รู้สึกสิ้นหวัง ไม่อาจมีความคิดต้านทานแต่แรก
อันที่จริงตอนนี้หลินสวินไม่อาจขยับเขยื้อน หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเมื่อครู่ สองเพราะตำหนักอมตะนี้น่ากลัวเกินไป
แค่เพียงกลิ่นอายที่แผ่กระจายก็พันธนาการหลินสวินอยู่ตรงนั้น บีบกดจนจิตวิญญาณเขาแทบพังทลาย
ต้องรู้ว่าปัจจุบันหลินสวินมีพลังจิตวิญญาณระดับดอกเทพรวมยอด!
แต่กลับถูกสะเทือนและกำราบโดยสิ้นเชิง ไร้แรงขัดขืน แค่คิดก็รู้ว่าพลานุภาพของตำหนักอมตะไร้ขีดจำกัดระดับใด
นี่ก็คืออานุภาพแห่งสมบัติอริยะที่แท้จริง!
และเป็นครั้งแรกที่หลินสวินเผชิญภัยคุกคามของสมบัติวิเศษเช่นนี้นับตั้งแต่ฝึกปราณมาจวบจนปัจจุบัน ทำให้เขารู้ซึ้งว่าอะไรที่เรียกว่าหมดหนทางและไร้เรี่ยวแรง
สิ่งเดียวที่หลินสวินทำได้ตอนนี้คือโคจรเจดีย์สมบัติไร้อักษรเต็มกำลัง หวังว่ามันจะช่วยคลี่คลายภาวะคับขันตรงหน้า
แต่หลินสวินก็รู้ว่าความหวังช่างริบหรี่ ภายใต้ความประมาท เขาถูกตำหนักอมตะนั่นฉวยโอกาสจนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
ในช่วงคับขันเข้าขั้นวิกฤติหาใดเปรียบนี้ กลางฟ้าดินพลันมีเสียงเย็นชาหนึ่ง…
“แดนสืบทอดศุภโชค ห้ามสิ่งภายนอกรบกวน ถอยไป!”
พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น ระฆังสำริดซึ่งอยู่บนโต๊ะกลางแท่นมรรคพลันส่งเสียงระฆังกึกก้อง
กึง!
ราวกับเสียงจักรวาลแรกกำเนิด ฟ้าดินกระเพื่อมไหว อานุภาพยิ่งใหญ่ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตแผ่ขยาย พุ่งซัดไปทางตำหนักอมตะ
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างแข็งทื่อไปทั้งตัวราวสายฟ้าฟาด จิตวิญญาณเลือนราง ซวนเซไปมาดั่งเมาสุรา โงนเงนแทบล้มพับ
ตำหนักอมตะพลันสั่นสะเทือน ระเบิดแสงมรรคไร้ขีดจำกัดดังตูม พลังกฎเกณฑ์อริยมรรคพรั่งพรูดั่งกระแสน้ำตก ซัดกระหน่ำน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด
แต่เสียงระฆังนั่นกลับราวไร้สรรพสิ่งมาทำลาย แผ่ขยายข่มอานุภาพตำหนักอมตะอยู่หมัด!
ยากจะเชื่อเกินไปแล้ว
ใครเล่าจะคาดคิด ระฆังสำริดที่พวกเขามองเป็นศุภโชคอันดับหนึ่ง กำลังสำแดงแสนยานุภาพกำราบและขับไล่ตำหนักอมตะในเวลานี้?
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการประลองของสมบัติอริยะที่แท้จริง!
ซ่า…
รอบตำหนักอมตะปรากฏภาพรอยสลักลายมรรคสุดหยั่ง มีภาพน่าตระหนกของการเซ่นไหว้บรรพชน ภาพกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อย ภาพเทพมารนองเลือด
อานุภาพมันชวนประหวั่นยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งอริยะก็ไม่ปาน ซัดกฎเกณฑ์อริยมรรคนับหมื่นพันออกไป ต่อกรกับเสียงระฆังที่แผ่กระจายราวเกลียวคลื่นนั่น!
ทุกคนขนพองสยองเกล้า ความกล้ากระเจิดกระเจิง พลังที่แผ่ออกมาในการประลองนี้สูงส่งและแข็งแกร่งเกินไป นอกเหนือขอบเขตที่พวกเขาสามารถเข้าใจ ประดุจศึกอริยะที่แท้จริง!
“เสียงระฆังคือสรรพชีวิต อริยมรรคเกิดจากสรรพสิ่ง ต่อต้านเท่ากับทรยศ!” น้ำเสียงราบเรียบนั่นดังก้องกลางฟ้าดินอีกครั้ง
ตึง!
เสียงระฆังแผ่ไพศาล อานุภาพเพิ่มขึ้นอีกมาก ดุจพลังหลอมรวมสรรพสิ่ง ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ตำหนักอมตะลายมรรคคลุมเครือไหลหลั่ง กลิ่นอายอริยเทพแผ่ลอย แต่สุดท้ายมันคล้ายรู้ว่าศึกนี้ไร้หนทาง จึงละทิ้งการคุมเชิง
วู้ม…
ทั่วร่างมันแสงสว่างห้อมล้อม แสงศักดิ์สิทธิ์เพริศพรายสายหนึ่งพรั่งพรูออกมา เก็บศพและเลือดเนื้อไร้วิญญาณที่อวี่หลิงคงหลงเหลือไว้ จากนั้นจึงฉีกแหวกอากาศจากไป
แต่ต้นจนจบไม่อาจถูกขัดขวาง!
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังกังวานนั่นก็เงียบสงัด
หากไม่ใช่ว่าศพอวี่หลิงคงหายไป ทุกคนคงสงสัยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความฝันฉากหนึ่ง เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
การประลองสมบัติอริยะ?
พวกเขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อานุภาพเหนือธรรมดาก้าวสู่อริยะนั่นน่าหวาดกลัวยิ่ง พาให้คนรู้สึกตัวเล็กจ้อยและไร้ทางช่วยเป็นพิเศษ!
หลินสวินซึ่งรอดจากความตายตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
เขาเพิ่งรับรู้ถึงความหมายของคำว่า ‘สมบัติอริยะกายสิทธิ์’ ก็คราวนี้ สมบัติชิ้นหนึ่ง เมื่อมีพลังกฎเกณฑ์อริยมรรคจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสมือนมีวิญญาณ อานุภาพดั่งว่างเปล่า ยิ่งใหญ่เกินคาดเดา!
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่าอวี่หลิงคงตายไปแล้วจริงหรือไม่
บนโต๊ะ ระฆังสำริดสูงครึ่งฉื่อเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ไหลเวียนแสงสีเขียว เสียงราบเรียบกลางฟ้าดินนั่นเงียบสนิทไม่ปรากฏขึ้นอีก
ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟ รวดเร็วอย่างที่สุด เมื่อทุกคนฟื้นคืนสติ ในบริเวณนั้นก็เหลือเพียงหลินสวินที่บาดเจ็บสาหัส
และเวลานี้เอง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่จับจ้องทุกอย่างนานแล้วก็ตอบสนอง คนส่วนหนึ่งออกลงมือ พุ่งสังหารมาทางหลินสวิน!
“พวกเจ้า…!” ไป๋หลิงซีโมโห พุ่งทะยานไปปกป้องหลินสวินโดยไม่ลังเล
พวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ซางเจี่ยต่างลงมือ หมายฉวยโอกาสนี้สังหารให้สิ้น กำจัดคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างหลินสวิน
เพราะพวกเขาล้วนดูออก หลินสวินในตอนนี้อ่อนแอหาใดเปรียบ ซ้ำได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เป็นบาดแผลจากการโจมตีของสมบัติอริยะตำหนักอมตะ แน่นอนว่าไม่มีทางเท็จเทียม
นี่กลายเป็นโอกาสทองในการสังหารหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย!
นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา จ้องมองคนเหล่านี้ ในใจโกรธแค้นถึงขีดสุด เจ้าพวกนี้ยังหวังจะได้ของดีติดมือไปโดยไม่ต้องเสียอะไรตอบแทนมากมาย ฉวยโอกาสคร่าชีวิตเขา นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจอดกลั้น
แต่หลินสวินกลับจำต้องยอมรับความจริงเรื่องหนึ่ง อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงเกินไป หากเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้ไม่ถูกฆ่าตายก็คงสิ้นแรงตาย
‘เสือพลัดถิ่นก็ถูกสุนัขรังแก…’ หลินสวินทอดถอนใจ แต่ไม่ได้ยอมแพ้ เขานึกถึงโสมขาวกายสิทธิ์นั่น!
เมื่อรู้ว่าหลินสวินจะยืมฤทธิ์ยาบางส่วนของตนรักษาแผล เจ้าอันธพาลเฒ่าพลันกระทืบเท้า ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ไม่มีทาง! อย่าแม้แต่จะคิด ข้าลำบากลำบนทุ่มเทเวลาเนิ่นนานกว่าจะตื่นรู้มีปัญญาเสี้ยวหนึ่ง มีหรือจะให้ไอ้ลูกเต่าอย่างเจ้าได้ประโยชน์!”
หลินสวินไม่มีอารมณ์ล้อเล่นแม้แต่น้อย เวลานี้แม้แต่ลูกกลอนวิญญาณยาอัศจรรย์ล้ำค่าก็ยากฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา ที่น่าเสียดายคือ ‘อมฤตแกนสุวรรณ’ ที่ได้มาจากรังราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่น ใช้หมดไปตอนทะลวงระดับกระบวนแปรจุติแล้ว
ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมาเถียงกับเจ้าอันธพาลเฒ่านี่ สาเหตุที่เจรจากับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทำลายโอสถเก่าแก่นี้เท่านั้น
“ข้าไม่รอด เจ้าก็อย่าหวังจะรอด!” หลินสวินตัดสินใจทันทีว่าจะกินไอ้แก่นี่ทั้งต้น!
“เจ้าจะทำอะไร” อันธพาลเฒ่าตกใจตะโกนลั่น “ได้ๆๆ เจ้าอย่าลงมือ ข้ายอมเจ้าแล้วพอใจหรือยัง” เขาพูดพลางทำหน้าปวดใจ ใบหน้าชราบิดเบี้ยวขมวดมุ่น
สุดท้ายเขาเด็ดรากเสี้ยวหนึ่งและใบเขียวขจีสดใหม่ของตนใบหนึ่ง โยนออกไปพลางก่นด่า “หากภายหน้าข้ากลายเป็นรากอริยะโอสถไม่ได้ ไอ้เด็กเวรอย่างเจ้าต้องรับผิดชอบ!”
“หลินสวิน เจ้าบาดเจ็บหรือ” แต่ขณะเดียวกัน เสียงใสเสนาะหูดังขึ้นจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ในใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน
หินหยกแปลกประหลาดขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ถูกวางอย่างระวังในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ ยามนี้เริ่มเกิดเสียงครวญคร่ำ จากนั้นก็ระเบิดแตกภายใต้เสียงเปรี๊ยะๆ
ร่างงามอรชรหนึ่งหยัดยืนขึ้นจากภายใน ประดุจภาพฝันลวงตา ทั่วร่างหมอกแสงสีดำราวรัตติกาลนิรันดร์ไหลวน
นางสวมเสื้อคลุมดำหลวมๆ หมวกคลุมบดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยเพียงริมฝีปากที่ค่อนข้างซีดขาว และคางขาวกระจ่างเรียบเนียนส่วนหนึ่ง
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังเผยความงามที่พาให้คนตกตะลึงใจสั่น ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มน้อยๆ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณไร้ตำหนิขาวกระจ่างราวหยกมันแพะ เนียนนุ่มละเอียดลออ ถูกหมวกคลุมสีดำปกปิด ดูลึกลับชวนตะลึง ทำให้ทุกอย่างต่างสลัวเลือนราง
ซย่าจื้อ!
ในที่สุดนางก็ตื่นจากการจุติ แต่เทียบกับเมื่อก่อนเห็นชัดว่านางสูงขึ้นไม่น้อย เงาร่างสูงเพรียวหยัดตรง ชุดคลุมสีดำไม่อาจคลุมข้อเท้า เผยเท้าหยกแบบบางน่ารักดุจแกะสลักจากหยกขาว เรืองประกายแวววาว
หากกล่าวว่าซย่าจื้อในอดีตคือเด็กหญิงตัวน้อยที่งามบริสุทธิ์สมบูรณ์คนหนึ่ง เช่นนั้นนางในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นจนสะโอดสะอง เปลี่ยนเป็นเด็กสาวงามระหงที่เปี่ยมเสน่ห์งดงาม
“ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอเจ้า เจ้าล้วนทุลักทุเลทั้งสิ้น มีคนรังแกเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงกระจ่างเปี่ยมเสน่ห์ราบเรียบเสนาะหู ประดุจเสียงจากธรรมชาติ
ขณะกล่าวซย่าจื้อเอื้อมพลิกเปิดหมวกคลุม ในมือมีทวนม่วงเล่มหนึ่งและร่มดำคันหนึ่งเพิ่มเข้ามา
“ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหมือนปีนั้นที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น นางก็เคยกล่าวเช่นนี้ นัยน์ตาใสดั่งมณีนิลคู่หนึ่งเปี่ยมความจริงจัง
แต่วาจานางกลับเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนกับปีนั้นทุกประการไม่เคยเปลี่ยนไปเพียงนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์