ในภาพจำของหลินสวิน อริยะเป็นดั่งผู้วิเศษ ครอบครองความสามารถเทียมฟ้าทะลวงดิน ยืนอยู่เหนือสุดผืนแผ่นฟ้า อายุยืนเทียบเทียมกาลนิรันดร์ รัศมีเรืองรองดุจสุริยันจันทรา ใกล้เคียงกับผู้เป็นอมตะ
ระดับอริยะยิ่งเป็นระดับการบำเพ็ญที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างฝันใฝ่ นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน บุคคลยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้ตั้งเท่าไรที่ขุ่นแค้นอยู่หน้ามรรคาสายนี้ ไร้วาสนาเหยียบย่างบนนั้น
มันสูงส่งเกินไป เป็นดั่งตำนานเล่าขาน นับแต่กาลเวลานิรันดร์เป็นต้นมา ผู้ที่สามารถมาถึงระดับนี้ได้ก็มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น!
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถขัดขวางผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนให้ไปปีนป่ายและแสวงหาอย่างไม่ขาดสาย
แต่ยามนี้ในอารามเก่าแก่แสนทรุดโทรมแห่งนี้ กลับมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับอริยะบรรพกาลสองคนมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้ ซ้ำยังถูกคนสังหารต่อเนื่องกันในหอกเดียว แล้วจะไม่ให้ผู้คนสยองขวัญได้อย่างไร
คนหนึ่งคืออริยสงฆ์ตู้จี้จากอารามกษิติครรภ์ อีกคนก็เป็นนางพญาเผ่าหงส์ดำเลือดทมิฬ แต่กลับพากันประสบเคราะห์อยู่ที่นี่ น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!
หลินสวินไม่อาจจินตนาการได้ว่า เงาร่างสีทองนั้นบรรลุไปถึงระดับที่น่าหวาดกลัวเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
เขาสั่นเทิ้มทั่วร่าง ตระหนักได้ว่าในสมัยบรรพกาล ภายในอารามแห่งนี้ต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้แน่ ถึงได้ทำให้อริยะทั้งสองเผชิญเคราะห์สังหารคับฟ้า!
ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้ามู่เจิ้งก็เปลี่ยนไปไม่นิ่ง เห็นได้ชัดว่าก็ตกใจกับความจริงฉากแล้วฉากเล่าที่ได้เห็นเมื่อครู่ด้วยเช่นกัน
“หืม?”
แต่ไม่นานทั้งสองต่างพากันสะดุ้งตกใจ สายตามองไปทางแท่นดอกบัวขาวพิสุทธิ์ที่กลิ่นอายอริยะเทพคุโชนแท่นนั้น
มันปรากฏรากไม้ที่เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมรากหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เน่าเปื่อยจนแทบกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่สะดุดตายิ่ง
แต่หลินสวินกับมู่เจิ้งต่างตระหนักได้ว่า นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง!
หาไม่มีหรือมันจะปรากฏบนแท่นดอกบัวหยกขาวที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์นั้นได้
สวบ!
มู่เจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวทันที เงาร่างสูงตระหง่านดุจดั่งภูผาพุ่งไปทางแท่นดอกบัวหยกขาวปานสายฟ้าแลบ เอื้อมมือออกไป รอยมือมายาขนาดใหญ่รายล้อมด้วยแสงธรรมสีดำคว้าตะปบลงไป
แต่หลินสวินไวกว่าเขา ก้าวย่างชือน้ำแข็งโคจรถึงขีดสุด เริ่มทีหลังแต่มาถึงก่อนราวกับแสงพริบไหวก็ไม่ปาน พร้อมกันนั้นในเจดีย์ไร้อักษรก็สาดแสงมรรคทองนิลกาฬออกมาสายหนึ่ง หอบม้วนออกไป
แสงมรรคทองนิลกาฬไม่เพียงมีประสิทธิภาพในการสยบอันน่าเหลือเชื่อ แต่ยังกวาดผ่านทุกสิ่ง เก็บรวบทุกอย่าง ยอดเยี่ยมสุดจะเปรียบ
“ถอยไป!” มู่เจิ้งหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ปากตะคอกขับไล่ เรียกอาลยบาตรในมือออกไปต้านแสงมรรคทองนิลกาฬ
แต่ตัวเขาเงาร่างพริบไหว ฝ่ามือควบรวมเป็นประทับพุทธมหึมา กดอัดห้วงอากาศพุ่งสังหารไปทางหลินสวิน
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่สามารถทำใจปล่อยให้หลินสวินชิงรากไม้เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมนั้นไปก่อนได้
“เฮอะ!”
หลินสวินแค่นเสียงเย็น ดาบหักที่พร้อมสู้ตั้งนานแล้วพุ่งโจมตีออกไป สาดประกายคมปลาบไร้เทียมทาน เจิดจ้าดั่งหิมะออกมาปะทะกับมัน
เพียงชั่วครู่ศึกใหญ่ก็ปะทุขึ้น!
วาสนาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ก็เพียงพอจะทำให้เกิดศึกตัดสินเป็นได้แล้ว
และเพื่อให้ได้รับวาสนา ไม่ว่าหลินสวินหรือมู่เจิ้งต่างงัดฝีมือออกมาใช้เต็มที่ตั้งแต่คราแรก
ตูม!
หลินสวินเหยียบย่างห้วงอากาศ ดาบหักสำแดงแก่นอัศจรรย์ของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า พิฆาตเฉียบขาด อานุภาพอหังการดั่งเทพมาร
กล่าวได้ว่า ยามนี้หากเปลี่ยนเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างพวกหลี่ชิงฮวน มู่เจี้ยนถิง เกรงว่าคงมีแต่ต้องตกที่นั่งลำบากตั้งแต่แรก
แต่เหนือความคาดหมาย มู่เจิ้งคนนี้กลับแข็งแกร่งผิดธรรมดา ภายใต้การสังหารระดับนี้ ยังถูกเขาขืนต้านไว้ได้
ในฐานะหนึ่งในสิบแปดสาวกรุ่นปัจจุบันของอารามกษิติครรภ์ เขาก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าโดดเด่นน่าทึ่ง
เผชิญกับการเข่นฆ่าของหลินสวิน สีหน้าเขาไม่แยแสและครัดเคร่ง รูปร่างสูงตระหง่านดั่งภูผาแผ่แสงธรรมสีดำ เคลื่อนไหวดุจสายฟ้า มีพลังดุจพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ ราวกับอรหันต์แค้นโลกรูปหนึ่ง
ตูม!
เขาถือลูกประคำสิบแปดสาวกไว้ในมือ ระหว่างที่หมุนวนก็ควบรวมเป็นประทับพุทธที่ราวกับสร้างจากทองคำนิลกาฬสายแล้วสายเล่าพาดผ่านห้วงอากาศ ปลดปล่อยเสียงแห่งมรสุมออกมา ถึงกับสลายพลังสังหารกร้าวแกร่งของดาบหักได้
ขณะเดียวกัน สมบัติอริยะในมือทั้งคู่ก็กำลังต่อสู้กัน
เจดีย์สมบัติไร้อักษรไหลหลั่งแสงมรรคสีทองหมื่นพัน ทรงพลังสยบจักรวาล บีบอัดห้วงอากาศจนพังครืน ส่งเสียงกึกก้องไม่ขาด
เพียงแต่อาลยบาตรนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่านั้น ปรากฏเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าท่องสวดเสียงธรรม ปลดปล่อยลำแสงนับไม่ถ้วนพาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
สมบัติชั้นยอดสองชิ้นต่างยื้อยุดกัน ยากจะแยกจากกัน
‘ภิกษุรูปนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!’
ในใจหลินสวินครัดเคร่ง ลงมือว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวเร่าร้อนลุกโชนดุจเตาไฟ พลานุภาพห้อทะยานถึงขีดสุด
“สหายยุทธ์ จากศักยภาพของเจ้าก็นับเป็นบุคคลแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ในโลก หากไม่รู้จักความเหมาะสม วันนี้ต้องมีอันตรายถึงชีวิตแน่” มู่เจิ้งขมวดคิ้ว แม้คำพูดจะราบเรียบแต่กลับเจือการข่มขู่
อานุภาพของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จีวรสีดำสะบัดแรง ใบหน้าเคร่งครัด ประหนึ่งภิกษุที่กรำศึกกับใต้หล้ารูปหนึ่ง
“ภิกษุ ข้าก็อยากเตือนสติเจ้าสักประโยคเหมือนกัน เดิมทีเจ้ากับข้าไร้ความแค้น อย่าดึงดันทำผิด บังคับให้ข้าสังหารเจ้า!” หลินสวินตอบกลับเย็นชา
เขาโคจรวิชาลับโทสะหยาจื้อ อานุภาพพุ่งทะยานขึ้นอีกเท่าใหญ่ กระชับดาบหัก ราวกับเทพมารมาเยือนโลก
เพียงแค่ท่วงท่านั้นก็พาให้ห้วงอากาศใกล้เคียงหวีดร้องคร่ำครวญ
“จิตสังหารของสหายยุทธ์รุนแรงเช่นนี้ หากไม่รู้จักเก็บงำไว้บ้างจะต้องร่วงหล่นจมสู่ทางมาร กลายเป็นคนนอกรีตที่ล้างผลาญใต้หล้า”
สีหน้ามู่เจิ้งไม่ทุกข์ไม่สุข ไร้เกรงกลัว เสียงดุจระฆังใบใหญ่ดังกังวาน “พุทธองค์ตรัสไว้ว่า อาตมาไม่ตกนรก ผู้ใดจักตกนรก วันนี้ก็ให้อาตมาช่วยโปรดสัตว์ให้เจ้าแล้วกัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์