ดังนั้นทันทีที่เริ่มต่อสู้ ผู้ใดต่างก็ไม่เคยรีรอและโอ้เอ้ใดๆ
สวบ!
เงาร่างหลินสวินพริบไหวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ส่วนลึกของอารามเก่าแก่แห่งนี้ลี้ลับยิ่ง เส้นทางคดเคี้ยวเงียบเชียบ ริมทางถูกปกคลุมด้วยสีดำราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งกว่านั้นพลังผนึกต้องห้ามยังแผ่คลุมทุกอณู ทำให้ยามที่หลินสวินพุ่งขึ้นหน้ายังต้องระวังและรอบคอบอย่างเสียไม่ได้
ทัศนียภาพก็เปลี่ยนแปลงตามความลึกเข้าไป
บนพื้น ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากศึกใหญ่ มีทั้งรอยกรงเล็บ รอยฝ่ามือ และขี้เถ้าที่หลงเหลือจากการถูกเผา
ระหว่าทางทุกแห่งหนล้วนเป็นภาพผุพัง เสื่อมสภาพ เป็นที่น่าสยดสยอง
คาดเดาได้ว่าที่แห่งนี้เคยเกิดศึกสะท้านโลกในช่วงบรรพกาลมาก่อน ร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่ล้วนไม่สามารถถูกลบทำลายจากการกัดกร่อนของกาลเวลา!
ไม่นานนักหลินสวินก็เห็นชิ่งที่เก่าคร่ำคร่ามีลายพร้อย เพียงแต่แตกหักตั้งนานแล้ว บนนั้นเปื้อนคราบเลือดสีทอง
เห็นได้ชัดว่าคราบเลือดนั้นแห้งกรังมาไม่รู้นานเท่าไร แต่ขณะที่หลินสวินทอดมองเข้าไปกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทะหน้าเข้ามาวูบหนึ่ง ดุจหุบเหวดั่งนรก กดดันเสียจนจิตวิญญาณของเขาครั่นคร้าม มีสัญญาณที่ตั้งท่าจะล่มสลาย!
เลือดอริยะหรือ
หาไม่หลังจากเกรอะกรังผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด จะยังคงหลงเหลือกลิ่นอายน่าสะพรึงเช่นนี้อยู่อีกได้อย่างไร
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน รีบขับเคลื่อนเคล็ดเวทบริกรรม ไม่กล้าไปหยั่งรู้อีก
จากจุดนี้เป็นต้นไป บรรยากาศเริ่มแตกต่างขึ้น มีกลิ่นอายอัปมงคลและบีบเค้นที่พาให้ผู้คนใจสั่น
ตูม!
แสงสายฟ้าวูบวาบ สายฟ้าสายแล้วสายเล่าตัดสลับไปมาปรากฏขึ้น นี่คือพลังของผนึกต้องห้าม น่าสะพรึงไร้ขอบเขต ท่ามกลางสายฟ้าคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายล้างผลาญ
หลินสวินรอบคอบเพียงพอแล้ว กลับยังคงถูกสายฟ้าเฉี่ยวร่างอยู่ดี บริเวณไหล่ฉีกขาดหลั่งเลือด พลังทำลายล้างอันคลุมเครือสายแล้วสายเล้าแพร่กระจายผ่านบาดแผลด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
หลินสวินโคจรพลังมรรคดับดารากลืนกิน ถึงได้สลายกลิ่นอายล้างผลาญคลุมเครือที่แผ่ขยายออกมาเหล่านี้ไปได้
“พลังของผนึกต้องห้ามแข็งแกรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” สีหน้าหลินสวินเคร่งขรึม เขาสัมผัสถึงภัยคุกคามถึงชีวิตอย่างหนึ่ง
วู้ม!
เขาเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด ตัวเจดีย์ที่สร้างขึ้นจากเหล็กเทพศุภโชคดุจดั่งกระจกเคลือบ แผ่รังสีศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามออกมาพิทักษ์รอบตัวหลินสวิน
พร้อมกันนั้นดาบหักสีขาวเจิดจ้าดุจหิมะก็แหวกอากาศออกมา คมดาบไหลเวียนด้วยแสงแวววาวมายา ตั้งท่าพร้อมรบ
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้นหลินสวินจึงรู้สึกโล่งใจน้อยๆ ก่อนมุ่งหน้าต่อไป
ระหว่างทางพลังผนึกต้องห้ามปั่นป่วน แสงธรรมดุจสีหมึก ราวกับราตรีนิรันดร์มืดมิดพาให้ผู้คนใจสะท้าน เริ่มลงมือพิฆาตใส่หลินสวินเป็นช่วงๆ
ด้วยความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณของหลินสวิน ยังไม่สามารถสลายมันได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงหลบเลี่ยงไม่ก็ฝืนต้าน พลังนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว
โชคดีที่เจดีย์สมบัติไร้อักษรลึกลับสุดขีด รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองไหลวน ช่วยบรรเทาเคราะห์สังหารถึงแก่ชีวิตมากมายให้หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเขาแทบจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลย
ไม่นาน ในที่สุดหลินสวินก็พบมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์
เขาสวมจีวรสีดำ เงาร่างสูงตระหง่านดั่งภูเขา รอบตัวพลุ่งพล่านด้วยแสงธรรมอร่าม ในมือกระชับบาตรสีดำใบหนึ่ง
บาตรนั้นลึกลับยิ่ง สาดพรมแสงธรรมสีดำเป็นล้านๆ สาย วิวัฒน์เป็นเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าเฝ้าพิทักษ์รอบกายมู่เจิ้ง ยังแว่วเสียงสวดท่องธรรมดังลอยออกมาจากกลางบาตรอีกด้วย
อาลยบาตร!
ก่อนหน้านี้ยามอยู่เบื้องหน้ากระแสน้ำวนนั้น มู่เจิ้งก็อาศัยสมบัติชิ้นนี้พาขบวนคนอารามกษิติครรภ์เข้ามาในซากปรักหักพังผืนนี้
และตามคำกล่าวของแม่นางเยวี่ย อาลยบาตรนี้เป็นถึงสมบัติพุทธอริยมรรคชิ้นหนึ่งที่เลื่องชื่อลือชาในอารามกษิติครรภ์ สืบทอดกันมายาวนาน
และเหนือศีรษะของมู่เจิ้งยังปรากฏพุทธคัมภีร์มายาเล่มหนึ่ง ปลดปล่อยตัวอักษรแปลกประหลาดราวกับสร้างขึ้นจากทองนิลดำแถวแล้วแถวเล่า ส่องแสงอร่าม กำลังช่วยมู่เจิ้งสลายพลังผนึกต้องห้ามที่ได้เห็นระหว่างทางอยู่
“หืม?” ราวกับสัมผัสถึงสายตาของหลินสวิน มู่เจิ้งเหลียวหลังขวับทันที
เมื่อเห็นหลินสวิน เขาหรี่ตาลงน้อยๆ หว่างคิ้วผ่องพิสุทธิ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก
โดยเฉพาะยามที่เห็นเจดีย์สมบัติไร้อักษรหลังนั้นเหนือศีรษะหลินสวิน เขาดูตื่นตกใจอย่างหาพบได้ยาก ท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา
ท้ายที่สุดเขาเก็บสายตากลับมา หมุนตัวมุ่งหน้าต่อไป เขาดูเหมือนไม่อยากถูกถ่วงเวลา หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
แต่จากท่าทางเมื่อครู่ของเขา หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่าเจ้าหมอนี่มีจิตสังหารต่อตนแล้ว!
‘ผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง แต่กลับเย็นชาและไร้ปรานีเช่นนี้ ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์แห่งนี้ต่างจากผู้บำเพ็ญธรรมบนโลกจริงๆ ด้วย…’ หลินสวินขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาไม่ได้คิดมากอีก รีบมุ่งหน้าทำเวลา
นี่เป็นเหมือนการแก่งแย่งและประชันอย่างไร้สุ้มเสียงอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามู่เจิ้งหรือหลินสวินต่างก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของอารามเก่าแก่แห่งนี้ให้ได้ !
หลินสวินมุ่งหน้าไปพลางครุ่นคิดไปพลาง อารามเก่าแก่แห่งนี้ดูเหมือนทรุดโทรมแถมยังไม่กว้างใหญ่ แต่กลับซุกซ่อนจักรวาล กฎเกณฑ์ลึกลับอื่นอีก
พลังผนึกต้องห้ามที่กระจายอยู่ในนั้นเรียกได้ว่าเป็นฝีมือชั้นยอดเหนือธรรมชาติ ศุภโชคชิงฟ้าดิน พาให้หลินสวินตระหนกตกใจหาใดเปรียบ กระทั่งลุ่มหลงเล็กน้อยเลยทีเดียว
เขายังนึกสงสัยว่าถ้าหากรู้แจ้งปรุโปร่งถึงปริศนาทั้งหมดของผนึกต้องห้ามนี้ ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณของตนต้องบังเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดอย่างแน่นอน!
‘แม่นางเยวี่ยพูดผิดแล้ว การจะเข้าสู่ที่แห่งนี้รู้แค่การสลักวิญญาณอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องมีสมบัติอริยะคอยปกป้องด้วย หาไม่ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ก้าวย่างยากลำบาก ไม่กล้าข้ามขีดจำกัด ผลีผลามบุกเข้ามามีแต่ตายอย่างเดียว!’
ผ่านการสัมผัสและสำรวจตลอดทาง หลินสวินก็ได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ปกคลุมทั่วอารามนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกระบวนอริยะ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์