แต่สำหรับมู่เจิ้งที่อยู่นอกแท่นบัวหยกขาว เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ
เขาหยัดปักหลักอยู่ตรงนั้น พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ เห็นได้ว่ามีความอดทนยิ่ง
แขนขวาซึ่งเดิมโดนตัดขาดถูกเขาใช้วิชาลับต่อกลับนานแล้ว แม้ไม่อาจฟื้นคืนดังเคยชั่วคราว แต่หาได้กระทบต่อการต่อสู้
มู่เจิ้งนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เผชิญก่อนหน้า ในใจรู้สึกมีสุขบนความทุกข์คนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มุ่งเน้นที่วาสนาชะตาลิขิต จากที่เห็นตอนนี้น่าจะเข้าทำนองหลักกรรมตามสนอง
บุญทำกรรมแต่ง ต่างเรียกว่าฟ้าลิขิต!
สิ่งที่เจ้าไม่ควรได้ แม้ทุ่มแรงใจก็ป่วยการ!
น่าเศร้าที่เด็กนี่ก็ถือเป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัย กลับต้องประสบเคราะห์เช่นนี้ บางทีก็อาจเป็นลิขิตสวรรค์เช่นกัน
มู่เจิ้งนึกถึงตรงนี้มุมปากพลันระบายยิ้มอย่างอดไม่อยู่
หลังจากเด็กนี่ประสบเคราะห์ รากโพธิ์แห้งเหี่ยวนั่น รวมถึงสมบัติอริยะในมือเขาล้วนต้องตกเป็นของตน นี่… ช่างเป็นมหาศุภโชคซึ่งหาได้ยากโดยแท้!
“หืม?”
แต่เวลานี้เองมู่เจิ้งพลันค้นพบว่า หลินสวินที่ถูกเขามองว่าต้องตายแน่กลับลืมตาขึ้น
เจ้าหมอนี่ยังไม่ตาย?
มู่เจิ้งเบิกตาโพลง ความคับแค้นเหลือจะเอ่ยจุกอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่เมื่อเห็นมู่เจิ้ง หลินสวินพลันมึนงง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว”
มู่เจิ้งตะลึงงัน หมายความว่าอะไร นี่กำลังเหน็บแนมว่าตนไม่เคยพุ่งเข้าแท่นบัวหยกขาวหรือ
รังแกกันเกินไปแล้ว!
มู่เจิ้งสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาอึมครึม “เจ้านอกรีต อย่ามาเหิมเกริม แม้เจ้ารอดมาได้ คราวนี้ก็ยากพ้นเคราะห์!”
หลินสวินกลับไม่สนใจเขา นั่งบนแท่นบัวหยกขาวอย่างสบายอารมณ์ มองซากไม้ท่อนหนึ่งในมือพลางจมสู่ห้วงความคิด
ในหัวราวปรากฏฉากต่างๆ ที่เห็นเมื่อครู่อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือ
‘เมื่อก้าวถึงขั้นนั้น แม้อริยะล้วนต้องประสบ ที่แท้แล้วมันคืออะไรกันแน่’ หลินสวินพึมพำในใจ
เขาไม่อาจลืมทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่
ใต้ต้นโพธิ์ อริยะสองคนทำการอนุมานเนิ่นนาน ในที่สุดก็สรรค์สร้างคัมภีร์มรรคที่จะสืบทอดแก่ชนรุ่นหลังออกมาเล่มหนึ่ง ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด
เดิมนี่น่าจะเป็นผลงานที่เกริกก้องชั่วกาล แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าในช่วงเวลานั้นเคราะห์สังหารก็มาเยือน…
หลินสวินแน่ใจว่าอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬล้วนสิ้นชีพ เสียชีวิตบนแท่นดอกบัวแห่งนี้ ถูกเงาร่างสีทองดุจเจ้าเหนือหัวร่างหนึ่งจู่โจมสังหาร!
นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้โดยไม่ต้องสงสัย สมัยบรรพกาลเป็นเพราะอริยะทั้งสองก้าวสู่สิ่งต้องห้าม จึงประสบเคราะห์!
แต่ความเป็นจริงช่างชวนรู้สึกหดหู่
“เจ้านอกรีต! เจ้าฟังที่ข้าพูดหรือเปล่า” เสียงตวาดดังลั่นปลุกหลินสวินจากห้วงความคิด
เขาเชยตาขึ้นก็เห็นมู่เจิ้งถลึงมองตนด้วยหน้าคล้ำเขียว ประหนึ่งอรหันต์เวทบันดาลโทสะ ท่าทางอยากสังหารตนเสียเต็มประดา
“ภิกษุ แม้แต่แท่นบัวนี้เจ้ายังขึ้นมาไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาเอ็ดตะโร” หลินสวินตำหนิอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะเดียวกันในใจเขารู้สึกประหลาดอยู่บ้าง สังเกตได้อย่างฉับไวว่าพลังแจ้งมรรคของตนเปลี่ยนไป เกิดการยกระดับอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
มหามรรคธาตุไฟเลื่อนขั้น บรรลุระดับเจตจำนงแห่งมรรค!
มรรคดับดารากลืนกินเลื่อนขั้น ก้าวสู่ระดับท่วงทำนองแห่งมรรค!
ส่วนมหามรรคธาตุน้ำซึ่งเดิมบรรลุถึงระดับเจตจำนงแห่งมรรคขั้นสมบูรณ์ ก็ก้าวสู่ระดับแก่นมรรคในคราเดียว!
เหตุไฉนเรียกแก่นมรรค
คือแก่นจริงแท้แห่งมรรคอย่างไรเล่า
แก่นนั้น เดิมคือหลักแห่งแก่นแท้
แก่นมรรค ก็คือแก่นแท้จริงอันเป็นเนื้อแท้แห่งมหามรรคดั้งเดิม
สิ่งนี้คือระดับใหญ่ที่สามของการหยั่งรู้มหามรรค เมื่อบรรลุถึงระดับนี้จะทำให้ผู้ฝึกปราณเข้าใจพลังมหามรรคลึกซึ้งกว่าเดิม สังเกตแก่นอัศจรรย์แห่งเนื้อแท้ หยั่งถึงเจตจำนงตั้งต้น
หากใช้ในการต่อสู้ พลังของแก่นมรรคเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง สามารถเผยธรรมลักษณ์แห่งมรรคหลากรูปแบบ อานุภาพทรงพลังกว่าระดับเจตจำนงแห่งมรรคเกินเท่าตัว!
โดยทั่วไปในระดับกระบวนแปรจุติแทบไร้คนหยั่งรู้พลังของแก่นมรรค เพราะระดับนี้เกี่ยวเนื่องถึงเนื้อแท้ดั้งเดิมของมหามรรค มีเพียงระดับราชันที่มองทะลุความเป็นความตายปรุโปร่งจึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
แต่ปัจจุบันหลินสวินซึ่งมีปราณอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง ก็บรรลุมหามรรคธาตุน้ำถึงระดับ ‘แก่นมรรค’ แล้ว หากแพร่งพรายออกไปต้องสร้างความอึกทึกครึกโครมสุดคณนา
“เจ้านอกรีต! วาสนาเจ้าก็ได้ไปแล้ว เหตุใดล่าช้าไม่กล้าลงจากแท่นบัว หรือว่ากลัวจนหัวหด” ห่างไปเสียงมู่เจิ้งดั่งระฆัง หน้าคล้ำเขียวตวาดลั่น
ถูกมองข้ามอีกแล้ว!
เจ้าหมอนั่นท่าทางเหม่อลอย ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยใส่ใจมองตน ไม่เย่อหยิ่งไปหน่อยหรือ ช่างหลงระเริงเสียจริง!
ด้วยสภาวะจิตซึ่งแข็งแกร่งดั่งหินผาของมู่เจิ้ง บัดนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างอดไม่อยู่ สัมผัสถึงความเดือดดาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“หนวกหู! ภิกษุ เจ้าเงียบหน่อยเป็นไหม”
หลินสวินถูกขัดความคิดอีกครั้งจึงมุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง รู้สึกว่าเจ้านี่ช่างน่ารำคาญ ด่าว่าตนนอกรีตอยู่นั่น คิดหรือว่าตนจะกลัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์