สรุปตอน บทที่ 157 ถูกเฆี่ยนตีจนตาย – จากเรื่อง บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ โดย ต้าวเมียวเมียว
ตอน บทที่ 157 ถูกเฆี่ยนตีจนตาย ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ โดยนักเขียน ต้าวเมียวเมียว เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 157 ถูกเฆี่ยนตีจนตาย
ชื่อเสียงเหอจงต้องป่นปี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของเขา ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากอาจารย์ทุกคนให้ลงโทษอย่างหนักและลูกศิษย์ที่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โล่ชิวเห้อเอ่ยปากพูด “เหอจง เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
“ข้าแค่แค้นที่ไม่คิดได้เร็วกว่านี้ จะได้ฆ่าเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งเซียวกับจูนจิ่ว ไอ้แก่อย่างเจ้าคงตายไปตั้งนานแล้ว” เหอจองจ้องมองโล่ชิวเห้อด้วยสายตาเคียดแค้นอาฆาตอำมหิต
จนถึงตอนนี้ เหอจงก็ยังไม่รู้สึกเสียใจ เขากลับรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่คิดให้เร็วกว่านี้ แค่เขาชิงลงมือก่อนที่เฟิ่งเซียวกับจูนจิ่วกลับมาจะมีผู้ใดช่วยโล่ชิวเห้อได้? จะมีใครขัดขวางเขาได้อีก?
ซือถูซิวกลัวจนตัวสั่นไปทั้งตัว ร้องขอชีวิตอย่างรันทด “ผู้อำนวยการข้าผิดไปแล้ว ผู้อำนวยการโปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ผู้อำนวยการต่อไปข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”
“ผู้อาวุโสโล่เจ้ากำลังรออะไรอีกล่ะ หรือว่าเจ้าเกิดใจอ่อนขึ้นมา?” เฟิ่งเซียวขมวดคิ้วแน่นและแคะหู พร้อมหันหน้าไปมองโล่ชิวเห้อ
โล่ชิวเห้อส่ายหัว เขาเอ่ยปากพูด “เอาไม้แส้เทียนโจ้งมา เหอจง ซือถูซิวทั้งสองกระทำความผิดที่มิอาจให้อภัยได้ สั่งลงโทษโดยการเฆี่ยนตีให้ตาย ”
เสียงสูดลมหายใจ
ทุกคนสูดหายใจลึก แม้แต่เหล่าอาจารย์ก็ยังเปลี่ยนสีหน้าเลย
ไม้แส้เทียนโจ้ง ซือถูซิวยิ่งร้องโหยหวนดังกังวาน หวาดกลัวจนต้องคุกเข่าคำนับร้องขอชีวิตหลายครั้ง คุกเข่าคำนับจนหน้าผากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากลัวไม้แส้เทียนโจ้งมากเพียงใด เหอจงก็เช่นกัน ร่างกายเขาเริ่มสั่นเทาและยังจ้องมองโล่ชิวเห้อไม่ยอมละสายตา
เมื่อเห็นดังนั้น จูนจิ่วนั่งหลังตรง กระพริบตาถี่ๆรู้สึกสงสัย “ไม้แส้เทียนโจ้ง คือสิ่งของอะไร?”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าว่าสั่งลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีให้ตายมันเบาไปหรือเปล่า?” ในความคิดของโม่อู๋เยว่กลับรู้สึกว่าลงโทษเบาไป สำหรับการที่กล้าคิดจะลงมือฆ่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ของเขา ต่อให้ลงโทษด้วยการฆ่าหั่นศพเหอจงก็ยังเบาไปเลย นับประสาอะไรกับการเฆี่ยนตีให้ตาย
จูนจิ่วส่ายหัว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเหอจงถึงคิดก่อกบฏ? ก็แค่อยากได้ตำแหน่งผู้อำนวยสำนักเทียนโจ้ง ตอนนี้ชื่อเสียงเขาถูกทำลายจนป่นปี้ต่อหน้าศิษย์ทั้งสำนักเทียนโจ้ง อีกทั้งยังถูกเฆี่ยนตีให้ตาย นี่ถือเป็นความอัปยศอดสูและการลงโทษขั้นสูงสุดสำหรับเหอจงแล้ว ”
“ออ?” โม่อู๋เยว่กระตุกยิ้มมุมปาก
เขาเข้าใจแล้ว เสี่ยวจิ่วเน้นที่ความเป็นมนุษยธรรม ส่วนเขาจะชอบทำให้คนรู้สึกทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นมากกว่า มองโดยผิวเผินการลงโทษทั้งสองแบบจะว่าเหมือนก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเลือกลงโทษอย่างไหร่ ขอเพียงแค่เสี่ยวเอ๋อร์จิ่วดีใจก็พอแล้ว
น้ำเสียงของจูนจิ่วปรับสูงขึ้นกะทันหัน นางพูดว่า “นี่คือไม้แส้เทียนโจ้ง?”
เห็นที่สนามใหญ่ ไม้แส้เทียนโจ้งถูกยกนำออกมาโดยศิษย์สองคนอย่างระมัดระวัง เมื่อเปิดกล่องที่ทำจากสำริด ไม้แส้เทียนโจ้งได้เผยโฉมออกสู่สายตา นั่นคือแส้ที่ทำจากสำริดที่ประกอบต่อกันเป็นท่อนๆ บนตัวแส้มีหนามตามตัวเต็มไปหมด ทุกครั้งที่เฆี่ยนตีลงไปจะมีเลือดเนื้อติดมาด้วย
มันเป็นหนึ่งในอาวุธที่เหี้ยมโหดจริงๆ ถูกมันเฆี่ยนตีให้ตาย ความเจ็บปวดไม่ได้น้อยไปกว่าการถูกฆ่าแยกส่วน โดยเฉพาะเหอจงและซือถูกซิวล้วนเป็นนักจิต ไม่ตายโดยง่าย ความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับยิ่งหนักหนาสาหัสกว่า
เมื่อเห็นโล่ชิวเห้อจะไปเอาไม้แส้เทียนโจ้ง เฟิ่งเซียวยื่นมือไปห้ามเขาไว้ พร้อมถลกแขนเสื้อไปด้วยและพูดไปด้วยว่า “ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ให้ข้าทำแทนเถอะ”
“……”โล่ชิวเห้อมองบนใส่ จ้องมองเฟิ่งเซียวด้วยความหมายที่ชัดเจน ทำแทนอะไรกัน? เฟิ่งเซียวอยากจะแก้แค้นแทนจูนจิ่วน่ะสิไม่ว่า แต่ทว่าโล่ชิวเห้อกลับไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้าตอบตกลง
เหอจงและซือถูซิวจะรู้สึกเสียใจในภายหลังไหม?ตอนนี้ไม่มีใครสนใจหรือเป็นห่วงในประเด็นนี้ สายตาที่พวกเขามองไปที่กบฎล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก ศิษย์ที่เคยติดตามเหอจงก่อนหน้านั้น ยิ่งรู้สึกโกรธและอับอายปะปนกัน อยากจะเข้าไปตีสักแส้เสียด้วยซ้ำ เพื่อแสดงความสัตย์ซื่อที่มีต่อสำนักเทียนโจ้ง
จูนจิ่วนับแส้จนถึงครั้งที่หนึ่งร้อยเก้าสิบหก ซือถูซิวที่พลังจิตต่ำกว่าทนไม่ไหวจนเสียชีวิตไป จนถึงครั้งที่สามร้อยเจ็ดสิบแปด เหอจงกระอากเลือดออกมา ล้มลงไปแนบสนิทที่พื้น เวลานี้เลือดเนื้อบนร่างกายของพวกเขาปะปนกันไปหมดไม่เหลือสภาพความเป็นคนแล้ว
เฟิ่งเซียวพูดสมทบ “ตายเร็วเกินไปหน่อย”
“ลากศพพวกเขาออกไป โยนเข้าไปในป่ารกร้าง” โล่ชิวเห้อออกคำสั่ง แล้วมองไปทางลูกศิษย์ทุกคน พูดเสียงหนักแน่นว่า “ความจริงเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็รู้หมดแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องพูดตรงนี้ให้ชัดเจน ”
ลูกศิษย์ทุกคนปรับสีหน้าและอิริยาบถให้เป็นปกติ นึกว่าโล่ชิวเห้อจะพูดเรื่องเข้มงวดอะไร
แต่ผลปรากฏว่าโล่ชิวเห้อมองไปทางเฟิ่งเซียว ในความเข้มงวดกลับแฝงความยินดีอยู่ “คนที่ช่วยชีวิตข้า ล้วนเป็นเพราะไท่ซ่างฮ่องและจูนจิ่ว การที่ข้ามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ พวกเขานับเป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้น ข้าขอแต่งตั้งเฟิ่งเซียวเข้ารับช่วงตำแหน่งรองหัวหน้าคนใหม่ และจูนจิ่วไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์สามารถเข้าสู่การคัดเลือกศิษย์ดีเด่น ในช่วงสุดท้ายได้เลย”
ไร้เสียงตอบรับใดๆ ไม่มีผู้ใดเห็นต่าง
เนื่องด้วยประการที่หนึ่ง เฟิ่งเซียวสมควรกับตำแหน่งนี้อยู่แล้ว ไท่ซ่างฮ่องที่ได้รับการชำระมลทินคืนสู่ความบริสุทธิ์ การที่มีไท่ซ่างฮ่องรับช่วงตำแหน่งแทนที่เหอจง ดูยังไงก็ไม่มีปัญหาอะไร ประการที่สอง ลูกศิษย์ทุกคนยิ่งไม่มีปัญหาอะไร การที่ไม่มีจูนจิ่วผู้เหี้ยมโหดรุนแรงเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งใหญ่ด้วย พวกเขาจะได้มีโอกาสเพิ่มขึ้น
มิเช่นนั้น ใครที่เจอตัวจูนจิ่วละก็ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ณ บนตึกสูง จูนจิ่วปรบมือ “โอ้โห ให้ข้าเข้ารอบการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นในช่วงสุดท้าย พอถึงตอนนั้น ข้าก็สามารถเห็นตัวแทนทูตจากอู๋อจงน่ะสิว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...