บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ นิยาย บท 217

บทที่217 พรสวรรค์ยอดเยี่ยม

“เจ็ด เจ็ด ระดับเจ็ดสีม่วง”อึกๆอักๆ ละล่ำละลักอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะเอ่ยจนครบประโยคว่าระดับเจ็ดสีม่วง หลังพูดจบประโยค ก็ทำเอาบุรุษอีกหลายคนในตำหนักขาอ่อนไปตามๆกัน

พวกเขาอึ้งตาค้าง ยืนบื้ออยู่เป็นนานก่อนจะหันมามองจูนจิ่วอย่างพร้อมเพรียงกัน สายตาร้อนแรงเหล่านั้น เหมือนจะอยากลากเอาตัวจูนจิ่วออกไปตีกันสักตั้ง

แม่เอ๊ย ระดับเจ็ดสีม่วง หากดวลกันจริงคงสนุกน่าดู

เดี๋ยวก่อน จุดที่พวกเจ้าควรสนใจไม่ใช่จุดนี้ พวกผู้อาวุโสคิดอยากสั่งสอนลูกศิษย์ของตนเหลือเกิน และก็เหมือนพวกเขาจิตใจจดจ่ออยู่ที่จูนจิ่วอย่างเดือดดาล ระดับเจ็ดสีม่วง ตามตำนาน อย่างน้อยต้องเป็นพันปีก่อนหน้านี้ที่จะมีคนระดับเจ็ดสีม่วงให้พบเห็น

เกิดมาจนบัดนี้ เพิ่งจะได้เห็นตัวเป็นๆก็วันนี้เอง

พลังทิพย์ถูกดูดไปจนหมด จูนจิ่วดึงมือกลับ เงยหน้ามองหินเทียนหยวนที่ส่องประกายแสงสีม่วงอ่อน นี่หรือคือพรสวรรค์ของนาง ปฏิกิริยาของนางดูสงบเฉยเมย ใจนางกำลังไตร่ตรองว่าหากเพิ่มพลังจิตเข้าไป พรสวรรค์จะมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

เสี่ยวอู่ถูที่ขาของจูนจิ่ว ในใจกล่าวว่า “นายท่าน ท่านดูพวกเขาต่างตกใจจนเป็นหินแล้ว เหมียวเหมียว พวกเขาบอกว่าเคยเห็นมากสุดก็ระดับห้าสีคราม แต่นายท่านเป็นระดับเจ็ดสีม่วง ห่างจากพวกเขาตั้งสองระดับ”

“อืม”จูนจิ่วตอบเสี่ยวอู่เบาๆ

นางมิได้รู้สึกตกใจ หรือตื่นเต้น และไม่รู้สึกลิงโลดใจ เหอซ่านเห็นใบหน้าเฉยเมยของจูนจิ่ว ก็รีบเก็บความตื่นเต้นบนใบหน้าของตนทันที ไม่สนใจใครจะยังไงก็ช่าง นิ่งสงบราวกับทะเลสาบหน้าหนาว เขาอายุอานามก็ไม่น้อยแล้วยังสู้จูนจิ่วไม่ได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก

เหอซ่านมองไปรอบๆ กระแอมไอเสียงดังหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติของทุกคน ถ่ายทอดพลังทิพย์ลงในเสียง แผ่กระจายทั่วตำหนัก “ศิษย์จูนจิ่วทดสอบพรสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเป็นระดับเจ็ดสีม่วง”

“ดีดี ข้าจะทำการบันทึกเอาไว้”ผู้อาวุโสโจวเตี๋ยยิ้มจนเห็นฟันขาวเป็นประกาย

“ช้าก่อน ”ชิงหยู่เปิดปากเอ่ยขึ้น จูนจิ่วมองไปยังเขา มองเห็นท่าทีที่ยากจะสำรวมได้ของเขา สายตามองลงมาที่เธอจากด้านบน

เหอซ่าน “เกิดอะไรขึ้น”

“พรสวรรค์ของศิษย์น้องจะบันทึกเช่นนี้ไม่ได้ โบราณกล่าวไว้อัจฉริยบุคคลมักอายุสั้น ระดับเจ็ดสีม่วงนั้นไม่ปรากฏให้เห็นมามากกว่าพันปีแล้ว หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ต้องมีคนอิจฉาริษยาและปองร้ายศิษย์น้องแน่นอน และข้าชิงหยู่ก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันเหล่านั้นทำสำเร็จเป็นแน่ ”

พรสวรรค์ของจูนจิ่วช่างขัดกับบัญชาสวรรค์ ช่างผิดมนุษย์มนา ช่างผิดปกติเหลือเกิน

แต่ตอนนี้นางยังเด็ก เป็นเพียงนักจิตชั้นสาม หลายคนสามารถฆ่านางได้ตั้งแต่ในเปล ไม่ให้นางได้เติบโต แค่คิดว่าจูนจิ่วอาจถูกผู้อื่นฆ่าตาย ใจของชิงหยู่ก็อยู่ไม่เป็นสุข ยากที่จะสงบลงได้

เขาเดินลงมาจากข้างบนสองก้าว ชิงหยู่ยืนอยู่ตรงหน้าจูนจิ่ว สายตาจริงจังเคร่งขรึม “ศิษย์น้องเจ้าจงวางใจ ศิษย์พี่อย่างข้าจะคิดหาวิธีการที่ดีได้แน่”

“ความหมายของเจ้าสำนักคือ เก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้”เหอซ่านเอ่ยขึ้น

ไม่รอชิงหยู่ตอบ ประโยคที่ว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน จูนจิ่วก็ชิงตัดคำพูดของเขา “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร และไม่ต้องคิดหาวิธีการอะไรทั้งนั้น”

เสียงใสเย็นไพเราะของสาวน้อย ดุจน้ำพุบนภูเขาที่ใสสะอาดและเย็นสดชื่น ได้ยินคำพูดนาง ทุกคนต่างเงียบสงบลงทันที ต่างมองไปที่นางอย่างพร้อมหน้า

ชิงหยู่แปลกใจ “ศิษย์น้องนี่เจ้ากำลังพูดอะไร เจ้าคงไม่รู้ว่า……”

จูนจิ่ว “ข้ารู้ แต่ยิ่งเราซ่อนโน้นซ่อนนี่ยิ่งเป็นการดึงดูดคนให้อยากค้นหา ช้าเร็วก็ต้องมีคนรู้ความลับนี้ ไม่สู้ปล่อยให้มันเป็นไป แล้วแต่มันเถอะ”

เงยหน้ามองอย่างเย็นชา จูนจิ่วมองเห็นปฏิกิริยาของทุกคนทั้งในและนอกตำหนัก ลูกศิษย์ทั้งหมด รวมถึงผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็เป็นห่วงนาง บ้างก็อิจฉา แต่ไม่เห็นความริษยา ความเกลียดชัง ความอาฆาตมาดร้าย บางทีนี่อาจเป็น“ดีแปลกๆ”ที่ผู้คนต่างกล่าวถึงกระมัง พวกเขาแม้จะดูหยาบกร้าน แต่ก็ซื่อตรงไม่คิดเล่นสกปรก

และอาจเป็นไปได้ว่านางมองผิดไป เพราะที่สุดแล้วใจคนยากคาดเดา แต่ยังไม่ขอกล่าวถึงความเป็นไปได้นี้ ภาพจากสายตาตอนนี้ จูนจิ่วพึงพอใจมาก รู้สึกประทับใจสำนักเทียนอู่จงมากขึ้นอีกหลายส่วน

นางกล่าวต่อไปว่า “ศิษย์พี่ท่านเคยบอกว่า ระดับเจ็ดสีม่วงพันปียังไม่ปรากฏ ข่าวแพร่ออกไปแบบนี้ คนนอกจะเชื่อหรือ พวกเขาไม่มีทางเชื่อหรอก ก็คงจะนึกว่าสำนักเทียนอู่จงนั้นพูดเกินจริง จงใจแพร่ข่าวน่าขันนี้ออกไป”

นางเข้าใจถึงพลังของการนินทาลับหลังเป็นอย่างดี และมั่นใจที่จะรับมือและใช้มันให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง

มุมปากยกขึ้นเบาๆ เผยรอยยิ้มจางๆ จูนจิ่วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฟังข้าก่อน ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ แล้วแต่มันจะแพร่ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว ยังไงข้าก็ไม่เป็นอันตราย กลับกันหากพวกท่านต้องปกปิดซ่อนเร้น นี่จึงจะเป็นการนำภัยมาสู่ตนอย่างแท้จริง”

“ศิษย์น้องนี่เจ้า……”ชิงหยู่ยังคงลังเล

จูนจิ่วทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีการ นางถาม “ศิษย์พี่เชื่อข้าหรือไม่”

ชิงหยู่ก็ยังคงลังเลอยู่ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ หัวเราะเสียงดังอย่างไม่สำรวม ชิงหยู่มองจูนจิ่วด้วยสายตาร้อนแรง “ดี ถ้าเช่นนั้นศิษย์พี่จะเชื่อฟังศิษย์น้อง เราไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ไหนๆพวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าสำนักเทียนอู่จงของเราจะโชคดีขนาดนี้”

ยิ่งพูด ก็ยิ่งฮึกเหิมลิงโลด“สำนักเทียนอู่จงของเราได้ทั้งดาวเจ้าสำนัก นักกลั่นยา ทั้งยังได้รับอำนาจในการจัดแข่งขันทั้งห้าสำนัก สำนักอื่นๆคงอิจฉาจนจะเป็นบ้า พวกเขาคงไม่เชื่อ ว่าข้าชิงหยู่จะโชคดีขนาดที่ว่า ยังได้รับศิษย์น้องพรสวรรค์ระดับเจ็ดสีม่วงด้วย”

“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะบอกเจ้าให้ อำนาจการจัดแข่งขันทั้งห้าสำนักนี้ ก็ได้มาจากการที่ข้าเอาเจ้าเป็นเดิมพัน ศิษย์น้องเจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าชิงหยู่ และสำนักเทียนอู่จงจริงๆ มา ศิษย์พี่จะขอเป็นตัวแทนสำนักเทียนอู่จงมอบอ้อมกอดแก่เจ้า ”ชิงหยู่เริ่มแสดงฝีปากอันทรงพลัง

เห็นชิงหยู่อ้าแขนเดินเข้ามา จูนจิ่วหันไปด้านข้างอย่างเย็นชา รอต้อนรับชิงหยู่ เป็นเท้าของเสี่ยวอู่ที่ทั้งคมและรวดเร็วดุจสายลม ป้าบๆๆข่วนไปบนใบหน้าของชิงหยู่ ชิงหยู่ร้องโอ๊ยรีบปิดหน้าวิ่งหนี

ในตำหนักเป่าถัง ฝูงชนมองดูกิริยานี้ของชิงหยู่ เหมือนชินกับความเป็นความตายจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ไม่ว่ายังไง ก็เป็นเจ้าสำนัก ยอมรับซะเถอะ

เรื่องพรสวรรค์ของจูนจิ่วก็ปล่อยมันไป แต่สายตาทุกคนที่มองจูนจิ่ว รุ่มร้อนรุนแรงจนเกิดประกายสีเขียว สุดท้ายก็เป็นชิงหยู่ในฐานะเจ้าสำนัก เกลี้ยกล่อมพวกเขาทั้งหมดออกไปจนได้ ถึงจะกล่อมคนไปได้ แต่คำพูดของพวกเขายังล่องลอยอยู่ทั่วทิศ

จูนจิ่วได้ยินพวกเขาพูดว่า “ระดับเจ็ดสีม่วง พรสวรรค์ยอดเยี่ยมขนาดนี้ การต่อสู้ก็คงต้องร้ายกาจมากแน่ๆ”

“อาจารย์ข้าคือผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเฉียน เขาบอกว่าในจดหมายของเจ้าสำนักบอกไว้แล้วว่า อาจารย์อาจูนจิ่วผู้นี้ฝีมือร้ายกาจ การแข่งขันของทั้งห้าสำนักครั้งนี้ ไม่มีใครเทียบนางได้เลย”

“โอ้ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากอาจารย์อาซะแล้ว”

“ว่าแต่อาจารย์อาสวยขนาดนั้น งดงามประณีตดุจตุ๊กตาแก้ว เจ้าจะกล้าลงมือหรือ หากไม่ระวังทำนางบาดเจ็บ ผู้อาวุโสกับเจ้าสำนักคงฆ่าเราเป็นแน่ เฮ้ หากเจ้าทำอาจารย์อาบาดเจ็บจริง ข้าก็คงจะตีเจ้าเหมือนกัน”

กลุ่มคนบ้าการต่อสู้ทั้งหลาย จากขอการชี้แนะประลองจนสุดท้าย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจารย์อางดงามดุจดอกไม้ ใครจะตาบอดกล้าลงมือ

หลังได้ฟังทั้งหมดในใจของจูนจิ่วก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น นางรู้สึกว่าพวกหยาบกร้านเหล่านี้ก็น่ารักดี คิดไม่ถึงว่าสำนักเทียนอู่จงจะมีวิถีแบบนี้นี่เอง เมื่อเปรียบกับอีกสี่สำนักแล้ว เป็นเอกลักษณ์ที่ดีแปลกๆไม่ซ้ำใคร

เสี่ยวอู่ เหมียว เจ้านายเหมือนจะชอบสำนักเทียนอู่จงเข้าให้แล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ