บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ นิยาย บท 274

สรุปบท บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาว: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาว – ตอนที่ต้องอ่านของ บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

ตอนนี้ของ บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ โดย ต้าวเมียวเมียว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาว

“แล้วไม่ใช่หรอกหรือ” จูนจิ่วหัวเราะเยาะและมองไปทางฝูงชน น้ำเสียงมุทะลุดูถูก

ถูกจูนจิ่วกระชากหน้ากากออกมาด้วยตัวเอง คนของสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จงพลันมีสีหน้าปั้นยากถึงขีดสุด จูนเสี่ยวเหลยเอ่ยขัดจังหวะ “พวกเจ้าสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จงสู้ไม่ไหวปลุกปั่นเทียนฉิวไม่ได้ ก็มีสร้างปัญหาให้สำนักเทียนอู่จง หน้าด้านหน้าทนไม่รู้จักยางอาย!”

“จูนเสี่ยวเหลยคนทรยศอย่างเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย รอข้าจับตัวเจ้าได้จักต้องบังคับโทษจัดการเจ้าเป็นแน่!” ครั้นผู้อาวุโสชางไห่จงเห็นจูนเสี่ยวเหลย พลันเปลี่ยนประเด็นสนทน้าเบิกตาโพลงร้องตำหนิอย่างพิโรธ

จูนเสี่ยวเหลยมิได้กลัว “ท่านจับข้าให้ได้ก่อนค่อยพูดเถิด!”

“อาจารย์อาท่านรับเข้ามาเร็ว พวกเราตัดสะพานอยู่ฝั่งนี้ก็มีค่าเท่ากัน!” หวางฉี่อ๋างยืนอยู่บนสะพาน ร้องตะโกนไปทางจูนจิ่วอย่างร้อนรน

“จูนจิ่วเลิกคิดหนีเสีย!” มือใหญ่ของผู้อาวุโสเจี้ยนจงโบกสะบัด ฝูงชนพลันกระจายแถวตอนเรียงหนึ่งปิดล้อมจูนจิ่วและเหยียนไห่เอาไว้ เบื้องหน้าคือศัตรูที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ เบื้องหลังคือหน้าผาสะพานไม้

สายตาเย็นเยียบ ปลายนิ้วของจูนจิ่วลากไล้บนด้ามกระบี่เล็กน้อย นางปริปากอย่างเย็นยะเยือก “จูนเสี่ยวเหลย หวางฉี่อ๋าง ข้าจะถ่วงพวกเขาเอาไว้ พวกเจ้าไปตัดสะพานก่อน”

“ได้!” จูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างพลันถอดดาบและเริ่มตัดสะพานทันที

เชือกขึงสะพานมีห้าเส้น ขอเพียงเหลือเส้นสุดท้ายเอาไว้ให้จูนจิ่วเข้ามาก็เพียงพอแล้ว พวกเจี้ยนจงและชางไห่จงค้นพบเจตนาของจูนจิ่ว จากนั้นจึงคิดขัดขวางทันใด

แต่เมื่อย่างออกมาหนึ่งก้าว จูนจิ่วยกมือชี้กระบี่ป๋ายเย่ไปทางพวกเขา “คิดขัดขวาง? ผ่านด่านข้าไปให้ได้เสียก่อน”

“จูนจิ่ว เจ้าเลิกวางโตเสีย! ตัวเท่าเด็กทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้าพูดจาวางโตโอ้อวดต่อหน้าพวกข้า ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คอยดูข้าจักสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดีสักตั้ง!” ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงเอ่ยเสร็จ พลันถอดดาบร่างไหววูบพุ่งไปทางจูนจิ่วทันที

ผู้อาวุโสชางไห่จงเอ่ยปาก “ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน!”

หลายสิบคนกรูขึ้นไปพร้อมกัน ในสนามน่าสยดสยอง เหยียนไห่กำด้ามกระบี่เอาไว้แน่น ควบคุมเส้นโค้งที่สั่นระริกตรงข้อมือของตน เขาเดินไปหยุดข้างกายจูนจิ่ว “จูนจิ่ว ข้าจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าเอง!”

“เหมี่ยว!” เสี่ยวอู่กางกรงเล็บออกพร้อมลุยเต็มที่

จูนจิ่วว่า “งัดพลังทั้งหมดออกมา”

ศิษย์ทั่วไปของสำนักเจี้ยนจงทั้งขบวนรวมพลังสร้างค่ายกลกระบี่ ศิษย์สำนักชางไห่จงช่วยกันปิดผนึกเส้นทางล่าถอยของจูนจิ่ว ผู้อาวุโสเจี้ยนจงและชางไห่จงอยู่ภายใน ลงมือซัดโจมตีจูนจิ่วอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

ใครก็ตามที่สามารถเป็นผู้อาวุโสได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นนักจิตชั้นหกขึ้นไป ทว่าคนกลุ่มนี้กลับไม่สามารถจับตัวจูนจิ่วได้ เห็นเพียงแต่เงาร่างของจูนจิ่วปานผีสางเทวดา ทิศทางที่กระบี่ยาวพุ่งออกไปล้วนเป็นภาพลวงตา ความเร็วของจูนจิ่วว่องไวเกินไป!

นางไม่ได้เผชิญกับพวกเขาซึ่งๆ หน้าเลยด้วยซ้ำ ลากถ่วงพวกเขาราวกับแมวแกล้งหนู ขณะที่บางคนในพวกเขาหมายจะพุ่งเข้าไปขัดขวางพวกจูนเสี่ยวเหลยตัดสะพานไม้ ก็ถูกจูนจิ่วเตะขัดขาตกหน้าผาไป หนึ่งครั้งสองครั้ง บรรดาศิษย์ชักเริ่มไม่กล้าพุ่งถลามาอีกแล้ว

“จูนจิ่ว! หากเจ้ายังไม่ยอมแพ้โดยละม่อมอีกละก็ ข้าจักฆ่าเขาเสีย!”

เมื่อได้ยินเสียง จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงเหยียนไห่ถูกผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงจับตัวเอาไว้ กระบี่คมพาดแนบบนลำคอของเหยียนไห่ ออกแรงไม่เบาเชือดเฉือนผิวหนังจนเลือดสดไหลออกมา

ขู่นาง?

จูนจิ่วไม่ได้ชายแลตาสักนิด กำกระบี่พลางหัวเราะหยัน “ลงมือสิ? ความเป็นความตายของเขา เกี่ยวอันใดกับข้า”

“เจ้า!” ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงคิดไม่ถึงว่าจูนจิ่วจะถึงขั้นพูดเยี่ยงนี้ เมื่อมองไปที่เหยียนไห่อีกครั้ง มิได้มีสีหน้าผิดหวังตรงข้ามกลับมีท่าทีโล่งอก ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงโกรธจนแทบกระอักเลือด “คนทรยศข้าไว้ชีวิตเจ้ามีประโยชน์อันใด ไสหัวไป!”

หากฆ่าเหยียนไห่ ก็ดันนึกถึงความสัมพันธ์ของเหยียนไห่และเจ้าสำนักเจี้ยนจง ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้ เตะเหยียนไห่ฟุบลงไปด้านข้าง ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องจูนจิ่วด้วยแววอาฆาตมาดร้าย “จุดไฟ! เผาสะพานไม้นั่นเสีย! ข้าจักคอยดูว่านางจะหลีกเร้นอย่างไร”

มองไปทางจูนจิ่วที่บาดเจ็บแต่ยังคงโจมตีอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงไม่ลดละตามเดิม เหลิ่งยวนรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง!

เมื่อเห็นรอยแผลบนร่างกายของจูนจิ่วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เสี่ยวอู่พลันร้องตะโกนลั่นอย่างร้อนรน เสียงคล้ายเสือ กึกก้องกำทวนสะเทือนโสต เลือดเดือดพล่าน แสงสีขาวไหววูบบนตัวเสี่ยอู่กลายเป็นแมวยักษ์ที่มีรูปร่างขนาดมหึมา

ถึงบอกว่าเป็นแมว แต่ลักษณะของเสี่ยวเหมือนเสือมากกว่าชัดๆ เพียงแต่ไม่ได้มีลวดลายเสืออยู่บนตัว เสี่ยวอู่พุ่งถลาเข้าไป ตะปบกรงเล็บลงไปคว้าผู้อาวุโสชางไห่จงกลายเป็นเนื้อตุ๋น หางยาวราวกับแส้หวดสะบัด ซัดคนทั้งกลุ่มลอยออกไป

เหลิ่งยวนเบิกตาดว้าง เสี่ยวอู่ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาวแล้ว?

จูนจิ่วเห็นดังนี้ จึงเลิกคิ้วด้วยความตระหนก “เสี่ยวอู่?”

“โคร่ง!” ท่ามกลางเสียงร้องอันเปี่ยมพลังสังหาร จูนจิ่วกลับได้ยินถึงความน่ารักที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสี่ยวอู่

เสี่ยวอู่จ้องฝูงชนอย่างเกรี้ยวกราด มันใช้ร่างกายของตนโอบล้อมจูนจิ่วเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองไปที่บาดแผลบนตัวจูนจิ่วอย่างหยาดน้ำตารื้นชื้น มันอยากโลมเลียให้จูนจิ่ว แต่เมื่อนึกถึงหนามบนลิ้นของตน ก็เกรงว่าพอเลียเข้าไปจะทำให้ผิวหนังของจูนจิ่วลอกก่อนเป็นอย่างแรก

ข่มกลั้นเอาไว้ เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองไปทางกลุ่มคนของสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จง ร้องคำรามลอดไรฟัน พวกเขาทำร้ายเจ้านาย เสี่ยวอู่ไม่ประกาศศักดา เจ้าคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยหรือไร?

โคร่ง!

เสียงร้องคำรามหนึ่งที เสี่ยวอู่พุ่งถลาออกไปปานประจุอสนี เห็นเพียงแต่เสี่ยวอู่ตัวสีขาวสูงปานกำแพงผันผ่านที่ใด กรงเล็บคม ปากเสือ หางยาวค่อยๆ กลายเป็นอาวุธ เสียงร้องโหยหวนกลัวลานดังก้องขึ้นในกลุ่มคน “นี่มันตัวอะไรกัน? หา! ช่วยด้วย!”

“อย่าเข้ามา! อย่า...ช่วยด้วย!”

“นี่มันสัตว์ประหลาด! ทุกคนรีบหลบเร็ว!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ