บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ นิยาย บท 384

บทที่ 384 ถูกข้าทำให้หลงแล้วหรือ

ไม่เพียงแต่จี้อีหมิงที่รออยู่ที่ประตู หยุนหนีกับลูกศิษย์ที่สามารถเข้าไปในสุสานของอ๋องเซ่หยิ่งได้ตั้งแต่เริ่มต้นก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด เห็นพวกเขาออกมา สายตาของหยุนหนีก็จ้องจูนจิ่วไม่ปล่อย

มู่จิ่งหยวนถามขึ้น “เหลือกันแค่นี้หรือ”

“ใช่”จี้อีหมิงพยักหน้า “หลังจากข้าออกมาแล้วก็พาพวกเขาเข้าไปหาข้างในอีกรอย มีแต่พวกเราที่เข้าสู่วงกลมแห่งชัยชนะ พวกท่านออกมาแล้ว ได้มรดกของอ๋องเซ่หยิ่งมาหรือไม่ ”

สายตาของจี้อีหมิงมองสำรวจไปที่ทุกคนอย่างอยากรู้ หลังจากหยุนหนีออกมาก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาย่อมไม่มีทางรู้ว่าใครกันแน่ที่ได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง เห็นเขาถามขึ้น ฝู้หลินจ้านก็ตำหนิเสียงอ่อน “เสี่ยวหมิง รอให้พวกเรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

“ก็ได้ ข้าขอโทษ”จี้อีหมิงเพิ่งจะรู้ตัวว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็เกาท้ายทอยเอ่ยขอโทษ

เปิดเผยตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะมีคนอาจจะมาแย่งชิง เขาจะนำอันตรายมาให้คนกันเองได้อย่างไร ไม่ผิด จี้อีหมิงตอนนี้ได้รวมเอาพวกจูนจิ่วเข้าไปในขอบเขตของคนกันเองแล้ว

หลังจากที่ออกจากสุสานอ๋องเซ่หยิ่ง ทุกคนก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองโดมใหญ่ พูดว่า “ม่านกั้นยังอยู่”

ได้ยินอย่างนี้พวกเขาต่างก็เงยหน้ามอง ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ทำได้เพียงมองตามมุมที่แสงอาทิตย์ที่ยังคงอยู่ส่องถึง มองเห็นม่านกั้นกลางอากาศที่เลือนรางโปร่งแสง นั่นคือการลงกลอนวงกลมแห่งชัยชนะ หลังจากมีการจุดคบเพลิง เปิดม่านกั้นคลุมที่นี่เอาไว้

พวกเขามีเพียงวิธีหาผู้ชนะเท่านั้น จึงจะเปิดม่านกั้นนี้ออกไปได้

จูนจิ่วเอ่ยเสียงเย็น “งานล่าสัตว์ทิพย์ต้องทำให้เสร็จสิ้น”

“งานล่าสัตว์ทิพย์ไม่ยาก คนก็อยู่ที่นี่แล้ว อันดับที่หนึ่งก็ได้แล้ว”มู่จิ่งหยวนพูดขณะมองทุกคน

สำนักศึกษาเทียนซู เหลือลูกศิษย์สี่คนที่ไม่ได้มีชื่อโดดเด่นอะไร พวกเขาจับกันเป็นหนึ่งกลุ่ม และก็ไม่มีใครแย่งที่หนึ่งกับพวกเขาด้วย สำนักศึกษาจื่อเซียว ฝู้หลินจ้าน ฝู้หลินซวงบวกกับจี้อีหมิงอีกหนึ่งคนก็พอดี เหลือพวกเขาที่เป็นสำนักศึกษาไท่ชู

หยุนหนีได้ยินก็รีบเดินขึ้นไปข้างหน้า พูดกับมู่จิ่งหยวนว่า “ศิษย์พี่มู่ ตอนนี้ให้ข้าเข้ากลุ่มกับพวกท่านเถอะ”

สำนักศึกษาไท่ชูเหลือพวกเขาแค่สี่คน อีกอย่างจูนจิ่ว ชิงหยู่และมู่จิ่งหยวนก็เป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากนางไม่ได้อยู่ในกลุ่ม ที่หนึ่งก็ไม่มีส่วนของนางแน่นอน หยุนหนีคิดถึงตรงนี้ ในใจก็ยอมรับไม่ได้

นางเป็นถึงหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่แห่งไท่ชู เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชู ทำไมที่หนึ่งก็ไม่สามารถเอามาได้

ในใจของหยุนหนีก็อดที่จะอิจฉาจูนจิ่วไม่ได้ จูนจิ่วก็แค่คนโชคดีที่คว้าตัวมู่จิ่งหยวนได้ได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่นางกับชิงหยู่ทั้งสองคนคงไม่มีทางเข้าสู่วงกลมแห่งชัยชนะได้แน่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะโชคดีได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรักษาหน้าของตัวเองไว้ให้ดี

หยุนหนีเม้มปากอย่างตื่นเต้น สายตามองไปที่มู่จิ่งหยวน “ศิษย์พี่มู่ ท่านคิดว่าได้หรือไม่”

หากเป็นเมื่อก่อน มู่จิ่งหยวนที่จิตใจดีสง่างาม แน่นอนว่าต้องเห็นด้วยกับความคิดของหยุนหนี แต่ผ่านเรื่องราวในงานล่าสัตว์ทิพย์ หยุนหนีส่งคนคอยสะกดรอยตามพวกเขา อีกทั้งในสุสานของอ๋องเซ่หยิ่งเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหยุนหนีกับหงยิงก็ไม่ธรรมดา มู่จิ่งหยวนได้แต่ขมวดคิ้วไม่ได้ตอบนางในทันที

ขณะที่หยุนหนีกำลังจะแสร้งทำเป็นน่าสงสารเพื่อขอร้อง เสียงเย็นของจูนจิ่วก็ส่งผ่านเข้าหูนาง “ศิษย์พี่หยุนหนี เรื่องนี้ศิษย์พี่มู่ตัดสินใจไม่ได้”

ได้ยินดังนี้ หยุนหนีรีบหันไปมองจูนจิ่ว

ไม่ว่าในใจจะอิจฉาแค่ไหน ไม่พอใจจูนจิ่วสักเท่าไหร่ แต่ภายนอกหยุนหนียังคงต้องเสแสร้งต่อไป มองไปทางจูนจิ่วด้วยความหวัง “ศิษย์น้องจูน แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร เดิมทีข้าก็คิดจะเชิญเจ้าเข้าร่วมกลุ่มด้วยกัน ตอนนี้พวกเรารวมเป็นกลุ่มเดียวกันก็ยังไม่สายนะ”

“สายไปแล้ว เพราะข้าไม่เป็นพรรคพวกกับศัตรู ”จูนจิ่วยิ้มเย็นให้หยุนหนี

ร่างแข็งทื่อ หยุนหนีกระตุกมุมปากขึ้นอย่างแข็งเกร็ง “เป็นพรรคพวกกับศัตรูอะไรกัน ศิษย์น้องจูนเจ้ากำลังพูดอะไร พวกเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตอนที่ท่านช่วยเหลือหงยิง ฉะนั้นศิษย์พี่หยุนหนีทางที่ดีอยู่ห่างข้าไว้หน่อย กฎของสำนักศึกษาไท่ชูไม่ได้บอกว่าห้ามลูกศิษย์ในสำนักฆ่ากันเอง ฉะนั้นระวังตัวไว้บ้างก็ดี”น้ำเสียงเย็นชา โหดเหี้ยมไร้ปรานี ทุกคำแฝงไปด้วยความอวดดีและข่มขู่ ทำให้หยุนหนีเก็บอาการบนหน้าไว้ไม่อยู่

ไม่มองหยุนหนีที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่หมุนตัวไป เรียกชิงหยู่ไปด้วยเพื่อหาที่เหมาะสมในการพักผ่อน ผ่านคืนนี้ไป พรุ่งนี้ค่อยทำภารกิจชิงที่หนึ่งในงานล่าสัตว์ทิพย์ จี้อีหมิงได้ยิน ก็รีบเดินเข้าไปนำทางให้จูนจิ่วอย่างดีอกดีใจ เขาหาที่พักผ่อนไว้ตั้งนานแล้ว

มู่จิ่งหยวนเงยหน้ามองเงาหลังที่พวกจูนจิ่วเดินจากไป จากนั้นก็หันมามองหยุนหนี สายตาของมู่จิ่งหยวนลึกขึ้นหลายส่วน

เขาพูดว่า “ศิษย์น้องหยุนหนี เจ้าคิดดูดีๆว่าจะกลับไปแก้ตัวอย่างไร เจ้ากับหงยิงคงเกี่ยวข้องกันสินะ”

“ศิษย์พี่มู่ พี่หงยิงเป็นศิษย์เอกของสำนักศึกษาเทียนซู ข้าเคยเจอกับนางสองครั้ง หรือว่าแค่นี้ก็เป็นหลักฐานแสดงว่าข้าเป็นคนของเขาแล้ว จะเป็นเรื่องที่ข้าถูกนางข่มขู่ไม่ได้เลยหรือ ”หยุนหนีอธิบาย

ได้ยินหยุนหนีแก้ตัว มู่จิ่งหยวนก็ยิ้ม เป็นครั้งแรกที่เขาเย็นชาจริงจัง จ้องมองหยุนหนีอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ “แต่ข้ารู้สึกว่า เจ้าดูแล้วไม่เหมือนคนถูกข่มขู่เลยสักนิด เจ้าจะคลุกคลีรู้จักกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่หงยิง”

หยุนหนีอ้าปากอยากจะแก้ตัวต่อ แต่มู่จิ่งหยวนไม่อยากฟังหมุนตัวเดินออกไปก่อน ทิ้งหยุนหนีให้ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าทั้งเขียวคล้ำทั้งขาวซีด นางถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว ไม่ ไม่ได้ นางต้องรีบติดต่อท่านปู่ให้ได้ บอกเรื่องนี้กับท่านปู่

แสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้ามืดลงแล้ว

จูนจิ่วลูบเสี่ยวอู่ตั้งแต่หูของมันจรดปลายหาง ก้อนกลมสีขาวในอกนอนหลับลึกสบายใจ ราวกับไม่มีท่าทีอยากจะตื่นเลยสักนิด จูนจิ่วเงยหน้ามองไปรอบๆ พวกนางมีที่พักในบริเวณเดียวกันกับพวกฝู้หลินจ้าน หยุนหนีถูกกันให้อยู่ภายนอก ทำได้เพียงนั่งอยู่กับเหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซู

สายตาแวววาว จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ลุกขึ้น ชิงหยู่ที่อยู่ด้านหลังเห็นนางขยับ ก็พูดว่า

“ศิษย์น้อง”

“ข้าจะออกไปเดินเล่น”

มู่จิ่งหยวนได้ยิน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเตือนขึ้นว่า “ดึกแล้วไม่ปลอดภัย ศิษย์น้องจูนเจ้าอย่าไปไกล ”

จูนจิ่วพยักหน้าเบาๆ นางหมุนตัวเดินไปท่ามกลางความมืด ความมืดปกคลุมร่างนางจนมองไม่ออกว่านางเดินไปทางไหน พวกเขาคิดว่าจูนจิ่วนั่งอยู่ที่นี่ก็เบื่อหน่ายจึงออกไปเดินเล่น ใครจะคิดว่าจูนจิ่วนั้นไปพบคนคนหนึ่งต่างหาก

เดินไปสักระยะหนึ่งก็หยุดลง จูนจิ่วเขย่งเท้ากระโดดขึ้นไปบนยอดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางอุ้มเสี่ยวอู่เพิ่งจะนั่งลง รอบกายนางก็เกิดเสียงลมเบาๆหันไปมองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่เห็นปีศาจบางตน

ท้องฟ้ามืดสนิท มีเขาก็มีแสงสว่าง เส้นผมสีเงินดุจทางช้างเผือก ดวงตาสีทองดึงดูดใจ เห็นโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสี่ยวหยิ่ง

เสี่ยวหยิ่งรูปงามราวปีศาจจิ้งจอก เป็นความงามที่แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง ดูแรดสวยงามแต่ก็ดูง่าย หากเอาเขามีเปรียบกับโม่อู๋เยว่แล้ว เทียบไม่ติดสักอย่าง ความงามของโม่อู๋เยว่นั้นสูงส่ง ดึงดูดสายตา ระยิบระยับเต็มไปหมด ดวงอาทิตย์ที่แผดเผายังกลบรัศมีของเขาไม่ได้ กลับเป็นตัวเสริมให้เขาดูดีขึ้น

โม่อู๋เยว่เห็นจูนจิ่วเอาแต่จ้องเขา ปากบางก็ยิ้มขึ้น “กำลังมองอะไร”

“ในหนังสือภาพมีเทพบุตรที่งามล่มเหมือนหรือไม่ ”ไม่ผิด ปีศาจบางตนถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็วางตัวอยู่สูง สูงเกินกว่าเหล่าเทพ

“หืม”น้ำเสียงทุ้มลึกดึงดูดใจ ราวกับลมแผ่วเบาพัดผ่านผิวน้ำ โม่อู๋เยว่เชยคางจูนจิ่วขึ้น “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถูกข้าทำให้หลงแล้วหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ