ตอน บทที่ 385 ที่แท้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ชอบ จาก บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 385 ที่แท้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ชอบ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ ที่เขียนโดย ต้าวเมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 385 ที่แท้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ชอบ
เลิกคิ้วขึ้น จูนจิ่วยกมือข้างหนึ่งกุมนิ้วของโม่อู๋เยว่เอาไว้ สัมผัสระหว่างนิ้วเกิดความร้อนขึ้นเล็กน้อย ม่านตากระตุก จูนจิ่วยกริมฝีปากยิ้มขึ้น สายตาสำรวจโม่อู๋เยว่อย่างไม่สำรวม “ท่านทำข้าหลงได้ด้วยหรือ”
นี่เป็นประโยคคำถามของนาง แต่โม่อู๋เยว่กลับให้คำตอบยืนยันกับนาง
โม่อู๋เยว่กล่าวว่า “ไหล่กว้างเอวบางขายาว กล้ามอกใหญ่ กล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ เส้นผม ดวงตาเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ชื่นชอบมาก พอใจและชื่นชมขนาดนี้ หรือเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยังไม่ถูกข้าทำให้หลงอีกหรือ”
ไม่รอจูนจิ่วตอบกลับ โม่อู๋เยว่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาก้มหน้าโน้มตัวเข้าใกล้อีกหลายส่วนทำให้ระยะห่างระหว่างกันใกล้จนสามารถประสานสายตากันได้ ปากบางดึงดูดใจยิ้มขึ้น สายตาสีทองทำจูนจิ่วนิ่งอยู่กับที่ น้ำเสียงที่พูดก็อ่อนโยนขึ้น “เพียงแต่ ข้ายังไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าข้านั้นใหญ่”
จูนจิ่วสำลักชั่วครู่ เค้นออกมาคำหนึ่ง “วิเคราะห์”
ตอนที่ตอกกลับเสี่ยวหยิ่งก็พูดออกไปอย่างนั้นเอง ทำให้นางลืมไปว่าโม่อู๋เยว่ก็ได้ยิน ตอนนี้ไม่รู้จะกู้กลับอย่างไรแล้ว
“วิเคราะห์อาจไม่ถูกต้อง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะทดลองด้วยตนเองก็ได้ จะได้รู้ว่าใหญ่แค่ไหนกันแน่”โม่อู๋เยว่ยิ่งพูดก็ยิ่งลึกซึ้ง ลมหายใจเป่ารดอยู่ที่ผิว ราวกับคลื่นไฟฟ้าทำเอาชาไปทั้งร่าง
แต่ไม่เหมือนกับปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย ตอนนี้สมองของจูนจิ่วสงบกว่าปกติ นางคลายมือที่จับนิ้วของโม่อู๋เยว่เอาไว้ หรี่ตาเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ ลองดูก็ดี”
ขณะพูดจูนจิ่วก็ยื่นมือไปด้านล่างของโม่อู๋เยว่ แววตาสีทองนิ่งขรึมลงในพริบตา โม่อู๋เยว่มือเร็วกว่ารีบคว้ามือจูนจิ่วเอาไว้ จับมือนางไว้แน่น สีหน้าของโม่อู๋เยว่ดูน่ากลัวกว่าปกติ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าทำอะไร”
“จะลองจับจุดฝังเข็มบนเอวของท่าน ท่านคิดว่าข้ากำลังทำอะไร”จูนจิ่วถามโม่อู๋เยว่กลับไป ท่าทีไม่ร้อนใจ มุมปากกลับยกขึ้น ราวกับกำลังยิ้มหยอก
ล้อนาง คิดว่านางจะอายหรือไง
จูนจิ่วฮึเสียงเย็น นางไม่ใช่หญิงสาวบอบบางไร้เดียงสา เป็นถึงหมอเทวดา ชาติก่อนตอนเป็นหมอยังอะไรบ้างยังไม่เคยเจอ แต่ว่าในใจของจูนจิ่วยอมรับว่า ในบรรดาที่นางพบเจอมาไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็สู้โม่อู๋เยว่ไม่ได้สักนิด
หากสามารถเห็นกับตาได้ มองเขาทั้งร่าง คนที่ได้กำไรก็คือนาง
มองสีหน้าท่าทีทั้งหมดของจูนจิ่ว ความขรึมในแววตาสีทองของโม่อู่เยว่ก็ค่อยๆจางไป แต่สายตาเขาที่จ้องจูนจิ่วนั้นยังคงเหมือนกับว่านางเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ไม่นานคงต้องถูกโม่อู๋เยว่กินจนสิ้นซาก
น้ำเสียงทุ้มต่ำ เส้นเสียงขรึมแหบพร่า โม่อู่เยว่พูดว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หยอกข้า ไม่กลัวว่าฟืนแห้งจะติดไฟ ข้าจะกินเจ้าหรือไง”
จูนจิ่วมุมปากโค้งขึ้น นางเงยหน้ามองโม่อู๋เยว่ ตาประสานตาจมูกชนจมูก ปากแดงแฝงรอยยิ้มอวดดีมีเลศนัย จูนจิ่วเอ่ยปากพูดอย่างไม่สำรวม “เช่นนั้นท่านก็หยอกข้าประจำ ไม่กลัวหรือว่าข้าจะทนไม่ได้จนจัดการท่าน”
“เจ้า”
“ทำไมหรือไม่เชื่อ”จูนจิ่วเลิกคิ้ว ใบหน้าสวยงามไร้ที่ติความงามนั้นดุจกุหลาบ พอนางทำตามอำเภอใจขึ้นมาก็ไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรเลย
นิ้วมือจับที่ใบหน้าของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วยิ้มร้าย อ้าปากพูดว่า “ก็ในเมื่อท่านยั่วยวนใจน่ากินขนาดนี้ นอนกับท่านข้าก็ไม่ขาดทุน ข้าหมอเทวดาจูนจิ่วต้องเป็นคนที่อยู่ข้างบนของท่านคนนั้น”
มีแต่นางขึ้นไปอยู่บนคนอื่นเท่านั้น ไม่มีทางที่นางจะถูกกดทับเด็ดขาด หมอเทวดาจูนจิ่วอย่างนางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ไม่รู้ว่าโม่อู๋เยว่คิดอะไรได้ เขายิ้มร้าย พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง“ดี ข้าจะรอเจ้าขึ้นมาอยู่บนร่างข้าตลอดเวลา ”
เหลิ่งยวน ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
……
ผ่านทั้งคืนไปอย่างสงบเรียบร้อย ตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปปีนเขาที่วงกลมแห่งชัยชนะ มู่จิ่งหยวนพูดว่า “เดิมที่กฎในวงกลมแห่งชัยชนะ จะมีการปิดล้อมวงกลมแห่งชัยชนะหลังจากจุดคบเพลิงแล้ว จากนั้นลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ข้างในจะสามารถท้าสู้ หมุนเวียนคู่ต่อสู้ สุดท้ายกลุ่มที่ชนะจะขึ้นไปบนยอดเขาตงผิงเพื่อเป็นที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เท่าที่เหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องทำการหมุนเวียนเพื่อต่อสู้ ”
อันดับแรก คือทุกสำนักศึกษาต่างก็เป็นที่หนึ่ง ไม่จำเป็นที่สำนักศึกษาทั้งสามต้องเข้าร่วมการต่อสู้แบบหมุนเวียน
ฉะนั้นตอนนี้ที่พวกเขาต้องทำคือการปีนขึ้นไปบนยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขาตงผิง ก็จะสามารถจบการแข่งขันล่าสัตว์ทิพย์ได้ เปิดม่านกั้นและออกจากป่าตงผิง
ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาตงผิงนั้นหาได้ง่ายมาก เงยหน้าขึ้นมองภูเขาที่สูงที่สุดนั่งไง ตอนนี้ลูกศิษย์ทั้งสามสำนักศึกษาต่างก็รีบจับกลุ่มรวมกัน พวกจูนจิ่วอยู่ข้างหน้า ตรงกลางคือสำนักศึกษาจื่อเซียว สุดท้ายจึงจะเป็นสำนักศึกษาเทียนซู ระหว่างขึ้นยอดเขาก็พบกับสัตว์ทิพย์ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมือ สัตว์ทิพย์เห็นกลุ่มคนมากมายก็หันหน้าหนีไปก่อนแล้ว
ตลอดทางที่ปีนขึ้นยอดเขาก็ราบรื่นตลอด มู่จิ่งหยวนชี้ไปที่ก้อนหินใหญ่สามก้อนบนยอดเขาและพูดขึ้นว่า “เอาธงบนก้อนหินมาได้ ก็จะสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว”
บนหินก้อนใหญ่ทั้งสามก้อนมีธงประจำสำนักศึกษาของทั้งสามสำนักปักอยู่ ชิงหยู่ ฝู้หลินจ้านกับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซูเดินเข้าไป ทั้งสามคนยื่นมือไปดึงธงพร้อมกัน หยุนหนีที่อยู่ข้างๆได้แต่มองอย่างตาร้อน ก็ได้แต่มองตาปริบๆเท่านั้น ไม่กล้าเข้าไปแย่งชิง ตอนที่ธงทั้งสามผืนถูกดึงออกมา บนท้องฟ้าก็มีเสียงดังขึ้น ในที่สุดม่านกั้นที่คอยปกคลุมวงกลมแห่งชัยชนะอยู่ตลอดหลายวันก็สลายไปแล้ว
ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังผ่าอากาศ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงเจ้าสำนักเทียนซูที่นำกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งบินมาทางพวกเขา ด้วยวรยุทธแค่พริบตา ทุกคนต่างก็ยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว
จูนจิ่วรู้จักเจ้าสำนักไท่ชู นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มของสำนักศึกษาเทียนซูกับจื่อเซียว ตอนที่สายตาประสานเข้ากับตาของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู สีหน้าของจูนจิ่วเย็นลงอีกหลายส่วน ตอนนี้เอง หยุนหนีพุ่งออกมาจากด้านหลังของนางวิ่งไปตรงหน้าเจ้าสำนัก เอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าสำนัก จูนจิ่วได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่งแล้ว”
พอพูดออกไป ทุกคนต่างก็จ้องมองไปทางจูนจิ่วทันที นางได้รับมรดกของอ๋องเซ่หยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...