จัดการกับหยุนหนีแล้ว จูนจิ่วก็โยนนางให้เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูไม่สนใจอีก ส่วนเรื่องเกี่ยกับนาง หยุนหนีอยากจะพูดนางก็ไม่สนใจ
เพราะนางแน่ใจว่า คนที่แม้แต่หน้าตาของสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างไร ชื่ออะไรก็ไม่รู้ เมื่อเทียบกับ นางที่กลั่นยาทิพย์ใหญ่ได้สำเร็จกับมือ สามารถกลบเกลื่อนความสำคัญของของล้ำค่าได้ เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ได้ถูกครอบงำจนหน้ามืดตามัว
ที่สุด หลังจากเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูสอบสวนหยุนหนีแล้วก็ฆ่านางต่อหน้าทุกคน วันนั้นจูนจิ่วไม่ได้ไป แต่ชิงหยู่กลับมาเช่าทุกขั้นตอนก่อนที่หัวของหยุนหนีจะหล่นลงที่พื้น
ต่อจากนั้น กองทัพของลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูก็เดินทางกลับสำนักศึกษาไท่ชู ระหว่างทางจูนจิ่วขอลาพัก เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูไม่ได้ถามอะไรก็โบกมืออนุญาตให้ลาได้
ตอนนี้ ถึงเวลาที่ต้องไปพบกับคนของสำนักเทียนอู่จงกับเย่ส้าแล้ว
ที่ชายแดนเขตของสำนักศึกษาไท่ชู ในป่าที่รกร้างหนาทึบ ไม่มีใครอยู่ที่นี่ พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยหญ่าและหนามแหลมคมไม่สามารถให้จรดเท้าได้ด้วยซ้ำ ฟิ้วฟิ้ว มีเงาเป็นสายวิ่งผ่านยอดไม้ ผ่านเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว
ข้างทะเลสาบ มีคนสามคนที่สวมชุดคลุมมีหมวกยืนรออยู่ที่นี่ไม่รู้นานเท่าใดแล้ว ปลายเท้าค่อยๆจรดพื้น ท่วงท่าของจูนจิ่วแผ่วเบาราวกับผีเสื้อตัวหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองทางสามคนนั้น มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ชิงหยู่ลงมาอยู่ข้างหลังนาง เอ่ยขึ้นก่อนว่า “พวกเรามาแล้ว ”
“พี่จิ่ว”จูนเสี่ยวเหล่ยดึงผ้าคลุมออก วิ่งเข้าไปหาจูนจิ่วอย่างกอดนางอย่างตื่นเต้น ไม่เจอกันหลายเดือน จูนเสี่ยวเหล่ยสูงขึ้นแล้ว การฝึกฝนก็บรรลุนักจิตชั้นสี่แล้ว จูนจิ่วลูบหัวของจูนเสี่ยวเหล่ย เงยหน้ามองไปทางสองคนที่เหลือที่กำลังดึงผ้าคลุมหัวออก นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ หยูนเฉียว ”
คนที่มา คือเฟิ่งเซียว หยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยพวกเขาสามคน
เฟิ่งเซียวมองจูนจิ่วด้วยความชื่นใจและดีใจเต็มอก รอยยิ้มเต็มหน้าพยักหน้ารัวๆ “ดีดีดี เสี่ยวจิ่วยิ่งอยู่ยิ่งสวย ฝึกฝนจนบรรลุชั้นห้าไม่เลวไม่เลว”เห็นจูนจิ่ว เฟิ่งเซียวดีใจจนเหลือแต่คำชื่นชมนาง
จากนั้นก็มองไปทางหยูนเฉียว หล่อเหลาดูดี ยืนผึ่งผายมองนางด้วยรางที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและชื่นชม หยูนเฉียวอ้าปากพูด “แม่นางจูน เจ้าอยู่ที่สำนักศึกษาทั้งสามเป็นอย่างไรบ้าง”
“หยูนเฉียวนี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร มีข้าอยู่ด้วย จะให้ศิษย์น้องลำบากได้อย่างไร ถึงจะมีความลำบากหรืออันตรายข้าก็ต้องต้านไว้ก่อนอยู่แล้ว ”มุมปากของชิงหยู่มีรอยยิ้มที่แสนจะได้ใจและสง่างาม แกล้งถลึงตามองหยูนเฉียวแวบหนึ่ง
หยูนเฉียวรีบโบกมือ บอกกับชิงหยู่ยิ้มๆว่าเขาพูดผิดไปแล้ว
หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันแล้ว จูนจิ่วก็หยิบเอากล่องยาทิพย์ใหญ่ออกมาส่งให้เฟิ่งเซียว “ท่านปู่ นี่คือยาทิพย์ใหญ่ ท่านสามารถกินได้ จะได้บรรลุเข้าขั้นนักจิตใหญ่ ในเทียนอู่จงหรือเย่ส้า หากมีใครที่มีใครเข้าขั้นหรือมีพรสวรรค์แตกต่างจากคนอื่น ก็ให้พวกเขาคนละเม็ด”
“ยาทิพย์ใหญ่ ”พวกเฟิ่งเซียวต่างก็นิ่งอึ้งเบิกตากว้าง
พอเปิดออกดู กล่องแบ่งออกเป็นสองชั้น ทุกชั้นต่างมียาทิพย์ยาสิบเม็ดว่างเรียงกันเต็มไปหมด ชั้นบนกับชั้นล่างรวมกันแล้วก็ยี่สิบเม็ดพอดี สวรรค์ ยาทิพย์ใหญ่ในตำนานกลายเป็นเหมือนการห่อเกี๊ยวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมจึงได้มีเยอะมาก
จูนเสี่ยวเหล่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่าใคร สองตาที่เต็มไปด้วยความนับถือเป็นประกาย“พี่จิ่ว นี่พี่กลั่นเองใช่หรือไม่ ”
“ใช่”จูนจิ่วยิ้มพยักหน้า ภายหลังนางได้กลั่นยาทิพย์ใหญ่เพิ่ม เก็บไว้กับตัวแค่สามเม็ดที่เหลือคิดว่าจะให้เทียนอู่จงกับเย่ส้าใช้ แข็งแกร่งคนเดียวสามารถมองสรรพสิ่งในใต้หล้าด้วยความโอหัง แต่หากคนทั้งกลุ่มแข็งแกร่งจึงจะกุมใต้หล้าไว้ได้
นอกจากยาทิพย์ใหญ่ จูนจิ่วก็หยิบเอายาอีกมากมายออกมาจากช่องว่างในกำลังข้อมือ จุดนี้หยูนเฉียวได้เตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ได้เอาห่อของที่พับเอาไว้ในแขนเสื้อออกมาใส่ พลางจัดเก็บพลางรู้สึกพอใจ ไม่อยากจะเชื่อ ยาที่มีมูลค่ามากมายต่อเม็ด ตอนนี้ราวกับหัวไชเท้าที่จะยัดใส่ในห่อเท่าไหร่ก็ได้ตามใจ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่แม่นางจูนนำมาด้วย หยูนเฉียวยิ่งรู้สึกบูชานางมากขึ้น ความชื่นชมก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
จู่ๆเฟิ่งเซียวถามจูนจิ่วถามขึ้น“เสี่ยวจิ่ว เจ้าจะกลับบ้านเมื่อไหร่”
จูนจิ่วชะงัก มองเฟิ่งเซียวแล้วขมวดคิ้วเบาๆ ในดวงตาของเฟิ่งเซียวเต็มไปด้วยความคิดถึง เขาพูดต่อว่า “เสี่ยวจิ่ว เทียนอู่จงกับเย่ส้าได้ย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่แล้ว ที่ใหม่นี้ลึกลับและปลอดภัยมาก แม้แต่สำนักศึกษาทั้งสามยังหาไม่พบ ไม่เพียงแต่ข้าที่คิดถึงเจ้า ทุกคนต่างก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน ”
“ใช่แล้วพี่จิ่ว พี่จะกลับมาเมื่อไหร่ ผู้อาวุโสเหอว่าไว้ในจดหมายที่ท่านส่งมา บอกไว้ว่าได้วิชาฝึกตนชั้นที่สี่มาแล้ว พี่จิ่วน่าจะกลับบ้านได้แล้ว ”จูนเสี่ยวเหล่ยถามนางอย่างโหยหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...