เห็นปฏิกิริยาของเฟิ่งเซียว จูนจิ่วก็รู้ทันทีว่าเขาเองก็ถูกปิดบังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จูนจิ่วพูดว่า “เสด็จปู่รู้จักป้าฟางหรือไม่ ”
เฟิ่งเซียวหยุดนิ่งไปชั่วครู่ พยักหน้าพูดว่า“ที่ตำหนักใหญ่ข้าจำนางได้ นางเคยเป็นสาวใช้ข้างกายของแม่เจ้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนของตำหนักไท่หวง ทำไมหรือเสี่ยวจิ่ว ป้าฟางคนนี้ แล้วยังมีตู๋กูชิงมันเรื่องอะไรกันแน่ ”
“ปู่ก็อยากจะพบเจ้ามาตลอด แต่เจ้าก็เก็บตัวฝึกฝนจึงไม่มีโอกาสได้เจอกัน เสี่ยวจิ่วเจ้าอย่าได้หลงเชื่อเรื่องสัญญาแต่งงานอะไรนั้นที่ตู๋กูชิงพูดเด็ดขาด ม่านตงไม่เคยเอ่ยถึงด้วยซ้ำ พ่อเจ้าก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นปู่จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ”เฟิ่งเซียวพูด
ถ้าหากมีเรื่องสัญญาแต่งงานนี้จริง เช่นนั้นตอนนั้นที่เขาเอ่ยถึงเรื่องการประทานงานแต่งงานให้เมื่อจูนจิ่วเติบโตแล้วเพื่อจะให้เป็นฮองเฮาของแคว้นเทียนโจ้ง ทำไมม่านตงกับจูนหมิงเย่จึงไม่คัดค้านเล่า
แล้วก็คิดถึงปัญญาต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาประทานงานแต่งงาน เฟิ่งเซียวทั้งปวดหัวทั้งตื่นเต้น ถ้าหากเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ต้องประสบพบเจอกับเฟิ่งเทียนฉี่คนที่สองจะทำอย่างไร ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งเรื่องการแต่งงาน ให้เสี่ยวจิ่วไปหาสามีอย่างที่ตัวเองต้องการดีที่สุด
คิดถึงตรงนี้ เฟิ่งเซียวก็รีบพูดขึ้นว่า “เสี่ยวจิ่วถ้าเจ้าไม่แน่ใจก็ให้ถามปู่ แล้วก็ทุกคน อย่าให้ผู้ชายมาหลอกได้อย่างเด็ดขาด”
ตอนนี้ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต่างก็พยักหน้าติดๆกัน พวกเขาล้วนสามารถช่วยออกความคิดเห็นเพื่อพิจารณาได้
“ไม่มีทาง”จูนจิ่วยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเยือกเย็นอวดดี “ใต้หล้านี้ยังจะมีชายคนไหนที่สามารถหลอกลวงข้าได้ ถ้าหากถูกหลอกจริง เช่นนั้นข้าจะเฉือนขาข้างที่สามของเขาทิ้งซะ”
บริเวณระหว่างสองขารู้สึกเย็นขึ้นมาวูบหนึ่ง ผู้ชายที่อยู่ในห้องนั้นต่างก็บีบสองขาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว เฟิ่งเซียวมีเหงื่อเย็นไหลออกมาจ้องมองจูนจิ่ว แต่ก็ยังคงให้กำลังใจ “ดี ทำเช่นนี้แหละ ปู่จะคอยช่วยเจ้า”
กล้าหลอกเสี่ยวจิ่ว อย่าว่าแต่ขาข้างที่สามจะถูกเฉือนเลย แม้แต่ขาทั้งหมดก็ถูกตัดทิ้งไปจนหมดก็สมควรแล้ว
จากนั้นจูนจิ่วก็เล่าเรื่องที่ป้าฟางและตู๋กูชิงบอกกับนาง ให้เฟิ่งเซียวฟังโดยย่อ เฟิ่งเซียวได้ยินแล้ว ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด “ปู่รู้แค่ว่าแม่เจ้าแซ่เหยียน เหยียนม่านตง และนางกับพ่อของเจ้าก็รักกันอย่างลึกซึ้งมากก็พอแล้ว เรื่องอื่นจะไปสนใจมากมายทำไมกัน”
พูดแล้ว เฟิ่งเซียวก็ถอนหายใจ
ถึงแม้อยากจะสนใจ เขาก็ทำไม่ได้ สถานะของเหยียนม่านตง ใครจะควบคุมได้
จูนจิ่วจับจุดสำคัญได้อย่างชาญฉลาด ม่านตาของนางหดลงเล็กน้อยจ้องมองเฟิ่งเซียว เอ่ยขึ้นว่า“เสด็จปู่ท่านบอกว่าแม่ข้าแซ่เหยียนหรือ ”
“ถูกต้อง ทำไมหรือ ป้าฟางกับตู๋กูชิงไม่ได้บอกเจ้าหรือ”เฟิ่งเซียวประหลาดใจที่เห็นจูนจิ่วส่ายหน้า เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก “ทำไมจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้”ชื่อก็รู้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่บอกเรื่องแซ่นี่นา
จูนจิ่วเดาว่า ตระกูลแซ่เหยียนที่อยู่เบื้องหลังแม่ของนางนั้นเป็นคนร้ายที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น
ป้าฟางไม่พูด สามารถเข้าใจได้ว่าก็เพื่อจะปกป้องนาง เพราะนางเคยบอกแล้วว่า ครอบครัวของเหยียนม่านตงนั้นไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของนาง แต่ถ้ารู้เข้า ต้องฆ่านางเพื่อกำจัดและรักษาความบริสุทธิ์ดั้งเดิมของสายเลือดเอาไว้ เช่นนั้นทำไมตู๋กูชิงก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้
จูนจิ่วกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเฟิ่งเซียวเอ่ยปากถามนางว่า “เสี่ยวจิ่ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไปตำหนักไท่หวงหรือ”
“อืม เสี่ยวอู่ได้เป่านกหวีดให้สัญญาณไปแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็คงจะมีคนมารับข้าไป”จูนจิ่วพยักหน้า
เฟิ่งเซียวอึ้งไป เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้งน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า “เช่นนั้นเสี่ยวจิ่วไม่กลับบ้านแล้วหรือ”
บ้านอยู่ที่แคว้นเทียนโจ้ง จูนจิ่วไปตำหนักไท่หวง เช่นนั้นการกลับบ้านคงเป็นเรื่องอีกยาวไกลแล้ว จูนจิ่วรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเฟิ่งเซียว นางยิ้มบางๆให้กับเฟิ่งเซียว “เสด็จปู่พวกท่านอยู่ที่ใด ที่นั่นก็คือบ้าน ฉะนั้น ข้าได้กลับบ้านแล้วมิใช่หรือ”
ขณะที่จูนจิ่วพูด หางตาของนางแฝงรอยยิ้มเหลือบมองไปทางด้านหลังของฉากกั้น นางรู้ว่าตรงนั้นมีคนหลายคนหลบอยู่ เฟิ่งเซียวลูบหนวดเครา อ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรอีก
จูนจิ่ว“แม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าต้องไปพบนาง และจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ตู๋กูชิงต้องการอะไรกันแน่”
“ได้”
ส่งจูนจิ่วออกไปด้วยสายตา เฟิ่งเซียวค่อยหันไปพูดกับกลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังว่า “ออกมาเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...