เวินหนิงถูกเอามืออุดปากแล้วพาลงมาจากชั้นบน เธอดิ้นขัดขืนมาตลอดทั้งทาง พยายามดิ้นสะบัดตัวไปมาแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วทั้งนั้น การที่ให้มาจัดการผู้หญิงที่ไร้ซึ่งกำลังแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายเสียเหลือเกิน
เวินหนิงดิ้นไม่หลุดจริงๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเงียบลงแทนทันที เธอพยายามทำใจให้สงบลง ตอนนี้เธอจะฝืนดิ้นอย่างไม่มีแผนไม่ได้ เพราะถ้าหากว่าเธอขัดขืนอย่างสิ้นสติ ก็จะเป็นการปิดโอกาสทางหนีมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็ตัดสินใจหยุดดิ้นแล้ว คนทั้งกลุ่มก็สบายใจลงไปไม่น้อย ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ท้องแก่เสียขนาดนี้ อีกทั้งนายใหญ่ยังออกคำสั่งมาว่าห้ามให้กระทบไปถึงตัวเด็กที่อยู่ในท้องโดยเด็ดขาด จะให้ควบคุมในเรื่องนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
“คุณหนูเวิน สงบสติอารมณ์ลงได้ถือว่าเป็นการดีที่สุดแล้วครับ พวกเราเองก็ไม่อยากทำให้คุณลำบาก ถ้าคุณมากับพวกเราเสียดีๆ ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บครับ”
จะไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นเหรอ
เวินหนิงฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะเชื่อคำพูดตอแหลของพวกมัน เมื่อเห็นว่าพวกมันดูจะระวังเกี่ยวกับท้องของเธอมาก ก็รู้ว่าจุดประสงค์หลักของคนคนนั้นก็คือตัวเด็ก
ตระลู่รู้ได้อย่างไรกัน............
ความคิดที่อยู่ในหัวของเวินหนิงตีกันยุ่ง เธอหลับตาลงไม่อยากที่จะเห็นคนพวกนี้ จึงทำได้เพียงใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว คิดว่าจะหนีออกไปได้อย่างไร
ถ้าหากว่าเธอไม่ได้กำลังท้องอยู่ หรือว่าสามารถที่จะเสี่ยงดวงทุ่มสุดกำลังกระโดดลงไปจากบนรถได้ และลุ้นดูว่าจะสามารถหลุดพ้นออกไปได้ไหม แต่ว่าตอนนี้ เธอจะเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ถ้าตอนนี้ทำแบบนั้นก็จะเป็นการสละทั้งสองชีวิตไป
ที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้น ราวกับว่ามีเพียงแต่ทางตันอันมืดบอดแล้ว..........
เวินหนิงกัดปากแน่น เธอไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ ที่ความรู้สึกในใจที่มีต่อคนตระกูลลู่ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและขมขื่นเช่นนี้เลย
ในขณะที่ใจของเธอกำลังโหมกระพือปานจะซัดกระหน่ำมหาสมุทรได้อยู่นั้น ในที่สุดรถก็จอดนิ่งสนิท มาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่นอกเมือง เวินหนิงถูกพาออกไป ตอนนี้เธอก็ยอมร่วมมือไปด้วย ในเมื่อก็เดินทางมาถึงถิ่นเสียขนาดนี้แล้ว จะดิ้นขัดขืนต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว เธอทำได้เพียงมองไปในทุกย่างก้าวที่เดิน
ประตูถูกเปิดออก เวินหนิงที่รออยู่ในความมืดมิดเป็นเวลานาน ก็พลันเห็นแสงสว่างขึ้น แต่ยังคงมองได้ไม่ถนัดนัก เมื่อรอจนสายตาเธอปรับสภาพ ก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ก็กลับไม่ได้มีท่าทีตอบกลับรุนแรงอะไรนัก
ไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากที่เธอคาดเดาเท่าไหร่นัก คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอก็คือ เย่หวานจิ้ง
เปรียบเทียบกันให้เห็นได้อย่างเด่นชัดกับเวินหนิงที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก เย่หวานจิ้งสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงทั้งตัว ถึงขนาดที่ว่ามีการแต่งแต้มเติมเครื่องสำอางค์บนใบหน้ามาเล็กน้อย ในมือถือชุดถ้วยน้ำชาแบบกังฮูแต้ และกำลังค่อยๆ ล้างใบชาอย่างละเมียดละไม
ฉากแบบนี้นั้นเมื่อดูแล้วก็สงบนิ่ง ไม่เหมือนคนที่ถูกลักพาตัวมาเลยแม้สักนิดเดียว กลับดูคล้ายกับว่ากำลังจะเข้าร่วมวงสนทนาดื่มน้ำชาของพวกคุณหญิงคุณนายชั้นสูง
ท่าทีที่ทำตัวยกตัวขึ้นเหนือลม ไม่สนใจผู้อื่นแบบนี้ทำให้เวินหนิงไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก นี่ก็คือตระกูลลู่ ที่ขมขู่และทำให้เธอหวาดผวาอย่างที่สุด กลับยังคงทำตาบอดไม่รู้เรื่องรู้ราว เสพสุขใช้ชีวิตอันหรูหราของตัวเอง นี่มันความหยิ่งยโสระดับไหนกันเนี่ย!
“ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ นายหญิงลู่สั่งให้คนไปพาฉันมาถึงที่นี่ คงจะไม่ใช่เพื่อให้ฉันมาดูคุณชงชาหรอกใช่ไหมคะ”
เวินหนิงพูดออกมาอย่างไม่มีความเกรงใจ ในเมื่อเย่หว่านจิ้งไม่ชอบใจเธอ งั้นต่อให้เธอพูดจาโอ้โลมดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
“หึ เธอก็ยังคงยั่วให้คนรังเกียจได้เหมือนเคยเลยนะ หยาบคายต่ำเป็นที่สุด”
เย่หวานจิ้งวางถ้วยใบน้อยในมือลงอย่างเบาๆ แววตาเจือไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย แต่ขณะที่มองมาเต็มไปด้วยความหน่ายใจ
ไร้คุณสมบัติก็คือไร้คุณสมบัติ เวินหนิง ผู้หญิงคนนี้ ทั้งชาตินี้ก็เป็นได้แค่ชนชั้นผู้น้อยแบบนี้แหละนะ.........
เพียงแต่ว่า......
สายตาของเย่หวานจิ้งเลื่อนมองลงมาที่ท้องของเวินหนิง มองไปยังตำแหน่งบริเวณที่นูนสูงขึ้นมาแล้ว ในใจเธอก็มีความรู้สึกสับสนที่พูดไม่ออกขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก