วันนี้ลู่จิ้นยวนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นนานกว่าปกติ จนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าแสงไฟในห้องดับมืดลง ฝ่ายชายถึงได้จากไป
เมื่อเห็นว่าเขาจากไปแล้ว เย่หวานจิ้งก็สะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านแล้วบอกให้คนขับออกรถ เดิมทีก็ดีขึ้นมามากเพราะว่าลู่จิ้นยวนและมู่เยียนหรานจะหมั้นกันและร่างกายก็ฟื้นตัวขึ้นมาเยอะแล้ว แต่เวลานี้กลับรู้สึกทรมานอยู่ลึกๆ ข้างใน
ตัวเธอเองไม่อาจที่จะปล่อยให้ตัวเขาเสื่อมแย่ลงไปมากกว่านี้ได้ สุดท้ายแล้วเขารู้ไหมว่าเด็กที่อยู่ในท้องของเวินหนิง เป็นลูกของเขา?
ถ้าหากว่าไม่รู้ล่ะก็ ก็จะต้องห้ามให้เขารู้ถึงเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
แต่ถ้าหากรู้แล้ว ก็ต้องให้เด็กคนนั้นมาอยู่ในอุ้งมือ ภายใต้การควบคุมของเธอถึงจะถูก
ขณะที่คิดนั้น เย่หวานจิ้งก็โทรศัพท์หาลู่จิ้นยวน “จิ้นยวน จะกลับประเทศเมื่อไหร่”
ลู่จิ้นยวนที่รับโทรศัพท์จากเย่หวานจิ้ง ก็รู้สึกใจไม่สงบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “กลับพรุ่งนี้ครับ การผ่าตัดของท่าน ตอนนี้เตรียมการเป็นอย่างไรบ้างแล้วครับ”
เย่หวานจิ้งอดที่จะยิ้มเย็นเยือกขึ้นมาในใจไม่ได้ ลูกชายคนนี้ที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับหัดริเริ่มที่จะพูดโกหกกับเธอแล้ว เริ่มที่จะหลอกเธอผู้เป็นแม่คนนี้เสียแล้ว
สำหรับลู่จิ้นยวนแล้วเธอฝืนที่จะโทษความผิดลงไปไม่ได้ จึงต้องโยนความผิดทั้งหมดไปให้เวินหนิง คนที่เป็นราวกับระเบิดเวลา
“ฉันไม่เป็นอะไร แล้วก็เรื่องงานหมั้น ตอนนี้เตรียมงานเป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่จิ้นยวนไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เรียกว่าการหมั้นเลย ในความคิดของเขา มันก็เป็นเพียงการกระทำที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายเป็นพิเศษเลย แต่ก็กลัวว่าเย่หวานจิ้งจะคิดมาก เขาจึงทำได้เพียงพูดออกไปอย่างคลุมเครือ
ยิ่งเย่หวานจิ้งได้ฟัง ความกรุ่นโกรธที่มีต่อตัวเวินหนิงก็ยิ่งข้นคลั่ก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของเธอ ไม่อย่างนั้นแล้วลู่จิ้นยวนจะมาพูดโกหกกับเธอแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“จิ้นยวน ไม่ต้องโกหกแม่แล้ว นี่ทำให้แม่ผิดหวังนะรู้ไหม” เย่หวานจิ้งพูดออกมาจากใจจริงด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกับก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ที่เวินหนิงอยู่
ความรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกๆ ที่อยู่ในอกของลู่จิ้นยวนยิ่งแรงมากขึ้น “คุณแม่........”
เย่หวานจิ้งไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมาต่อ กลับตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไปทันที
อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันหมั้นของลู่จิ้นยวนกับมู่เยียนหรานแล้ว งั้นเธอไม่มีเวลาเหลือพอที่จะมาชักช้าลีลาแล้ว ต้องรีบลงมือทันที
…….
เวินหนิงนอนหลับอยู่ในห้องไปแล้ว แต่ว่าข้างนอกจู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังลงมาปลุกให้เธอตื่นขึ้น
เธอลุกขึ้นนั่งทันที ใจก็มีความหวาดผวาอย่างรุนแรงอยู่เต็มอก เพราะว่าในห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างจึงทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เวินหนิงสูดหายใจเข้าปอดไปหลายที ความรู้สึกที่แน่นอยู่ในอกก็ไม่ผ่อนคลายลงไปเลย
นี่มัน.......เป็นอะไรกันแน่........
เวินหนิงส่ายหัวไปมา ลุกขึ้นยืนจะไปเปิดไฟเพื่อที่จะได้ไปเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท แต่ทว่า เมื่อกดเปิดไฟแล้ว แต่ในห้องกลับไม่มีแสงสว่างขึ้น
ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงจากสายฟ้าที่ฟาดผ่ากลางท้องฟ้า ทิ้งไว้ซึ่งเส้นแสงสว่างที่ทำให้คนผวา เหมือนกับฉากในหนังสยองขวัญที่เคยดูอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่.......ไม่เป็นไรนะ.......ต้องเป็นเพราะฉันคิดมากไปแน่ๆ”
เวินหนิงตกใจกลัวจนตื่นเต็มตา เมื่อเป็นดังนี้แล้วเธอจึงปลอบใจตัวเอง มือหนึ่งก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา คิดจะโทรศัพท์ให้คนมาช่วย แต่ก็พบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้นไม่มีขึ้นเลยสักขีด
ไม่มีไฟ ไม่มีสัญญาณ ในห้องนี้ก็มีเพียงแค่ตัวเธอคนเดียว เวินหนิงก็ไม่มีใจจะนอนต่อแล้ว เหงื่ออันเย็นชื้นซึมออกมาจากตัวเธอ ในช่วงเวลานั้นเองที่ข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เวินหนิงหันไปดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว ที่นี่เป็นเขตชานเมือง ไม่มีคนเดินไปเดินมาในช่วงเวลานี้แน่ๆ หรือว่า ที่ไฟดับและไม่มีสัญญาณนั้นจะเป็นเรื่องที่มีคนจงใจทำ?
เวินหนิงรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจที่อยู่ในอกเต้นเร็วและแรงขึ้น ราวกับว่าจะทะลุออกมาจากอกเหมือนกับในหนังผี เธอหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านไปกระทบต่อเด็กที่อยู่ในท้อง แล้วก็พลันหยิบแจกันดอกไม้ที่อยู่บนหัวเตียงติดมือมาด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่ประตูอย่างเงียบเชียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก