แน่นอน หลังจากที่พานจื้อหลานเห็นหน้าเธอสีหน้ามืดครึ้ม ปากนั้นกัดฟันแน่น อย่างกับจะกลืนกินเธอเข้าไปตัวเป็นๆ
แต่ยังดีที่พานจิ้นหลานยังจำตัวตนของตัวเองได้ ไม่ได้ด่าคำหยาบต่อหน้าสาธารณชนออกมา ใช้สายตาที่เยื่อเย็นจ้องมองเธอ แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธออย่างหยิ่งผยอง
โม่โยวถอนหายใจแล้วเดินตามเข้าไป ปิดประตู ปิดม่านเพื่อกั้นสายตาทั้งหลายที่อยากรู้อยากเห็นจากภายนอก
พานจื้อหลานโยนรูปถ่ายที่ซ้อนกันหลายใบออกมา " เธอดูเอาเองเรื่องบัดสีที่เธอทำ "
เธอก้มหัวลง แล้วถึงกับเปิดตากว้าง ในรูปถ่ายเหล่านี้นอกจากเธอแล้วยังมีพ่อลูกตระกูลลู่สองคน สถานที่เป็นที่โรงแรมที่พวกเขาไปเมื่อสองสามวันก่อนเพื่อแช่น้ำพุร้อน
โม่โยวอดพูดไม่ได้ " ท่านให้คนสะกดรอยตามฉันเหรอค่ะ "
" ฉันถุย สะกดรอยตามเธอ เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน "
" ในเมื่อกล้าที่จะทำ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถปกปิดได้ตลอดไป เป็นเพราะฟ้ามีตาต่างหาก วันนั้นฉันดันบังเอิญไปเจอเข้า ไม่งั้น พวกเราทั้งบ้านก็โดนเธอหลวกอย่างโง่เขลา"
พานจื้อหลานเหล่ตาและชี้ไปที่เธอ "โม่โยวเธอนี่ช่างสุดยอดจริงๆ ฉันถึงว่าเธอมันไม่ใช่คนดีอะไร สวมเขาให้ลูกชายฉัน ทีนี่โดนฉันจับได้แล้วเป็นไงล่ะ "
โม่โยวคาดคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไปได้ รีบทำการอธิบายอย่างร้อนรนใจ " ไม่ใช่นะคะท่านป้า ท่านเข้าใจผิดแล้วจริงๆ เด็กคนนี้เป็นของเพื่อนฉันคนหนึ่ง และผู้ชายที่อยู่ข้างๆคือพ่อของเขา พวกเรา ... "
"พอได้แล้ว "
พานจื้อหลานขัดจังหวะเธอด้วยความโกรธและจ้องไปที่เธอ " หลักฐานอยู่ตรงหน้าเธอขนาดนี้แล้ว ยังจะมาบ่ายเบี่ยงอีก"
“ คนสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นชายชู้ของเธอ อีกคนหนึ่งก็เป็นลูกชู้ที่เธอให้กำเนิดสินะ เรื่องปะติปะต่อได้สักที ฉันเข้าใจสักที อะไรทีว่าสูญเสียความทรงจำ จำเรื่องอดีตไม่ได้ เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น จุดประสงค์ของเธอก็คือ หลอกใช้ความเมตตาใจบุญของลูกชายฉัน เพื่อที่จะหลอกเอาทรัพย์สินของตระกูลโม่ใช่ไหม "
" ฉันจะบอกเธอไว้ตรงนี้เลยนะ เธออย่าแม้แต่จะคิด ตราบใดที่ฉันยังไม่ตาย เธอจะไม่มีวันได้เข้าประตูบ้านตระกูลโม่ "
โม่โยวอธิบายเป็นร้อยเธอก็ไม่มีทางเชื่อ ร้อนรนใจจนจะร้องไห้ออกมา เข้าไปกอดแขนของพานจื้อหลานไว้แน่น " ท่านป้าคะ ท่านต้องเชื่อฉันนะคะ ฟังฉันอธิบายได้ไหม เรื่องมันไม่ใช่แบบนั้นจริงๆค่ะ "
" เธอช่วยออกไปไกลๆเลย"
พานจื้อหลานผลักเธอลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง แล้วเช็คมือของตัวเองอย่างกับว่าปนเปื้อนไปด้วยเชื้อโรคอย่างงั้น จ้องมองเธอด้วยสายตาน่ารังเกียจและดูถูก
“ ฉันจะเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย สำนึกตัวเองหน่อยออกไปจะชีวิตของลูกชายฉัน ไม่เช่นนั้น ฉันจะแฉเรื่องอื้อฉาวที่เธอทำต่อสาธารณะชน ”
หลังจากพูดจบ พานจื้อหลานก็เดินออกไปอย่างภาคภูมิใจโดยรองเท้าส้นสูงที่ใส่มา
โม่โยวนั่งกองอยู่บนพื้น น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ ในที่สุดก็รวมตัวกัน ไหลออกมาทาง
แบบนี้พานจื้อหลานมีแต่จะรังเกลียดเธอมากยิ่งขึ้น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน ราวกับว่าทางข้างหน้ามีตาข่ายที่มองไม่เห็นอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งกำลังปิดกั้นความสัมพันธ์ของเธอกับเทียนยวี๋ ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้า
เธอไม่ได้โทษพานจิ้อหลานที่คอยหาเรื่องและใช้คำพูดที่หยาบคายกับเธอ เธอแค่โทษตัวเอง ที่ไม่น่าจะไปตอบตกลงออกไปเล่นกับสองพ่อลูกของตระกูลลู่ เพราะความใจอ่อนเพียงชั่วครู่
เธอมีเทียนยวี๋อยู่แล้ว และทั้งสองกำลังจะแต่งงานกัน ดังนั้นเธอควรหลีกเลี่ยงระวังเรื่องพวกนี้ มิฉะนั้น เรื่องมันก็จะไม่เป็นเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อยๆลุกขึ้นมา ในขณะนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากที่เห็นว่าเป็นสายโทรเข้าของโม่เทียนยวี๋ เธอรีบตบหน้าเบา กระแอมคอและหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่า ฟังความผิดปกติของน้ำเสียงไม่ออกแล้ว ก็หยิบขึ้นมารับสาย
“ เทียนยวี๋.”
โม่เทียนยวี๋นั่งอยู่บนเตียง แขนของถังหว่านเอ๋อร์โอบรอบคอของเขาไว้ราวกับงู
"โยวโยว คุณทานข้าวกลางวันแล้วหรือยัง"
น้ำเสียงนั้นยังอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่มือของเขานั้น กลับลูบไล้ไปที่ร่างกายของถังหว่านเอ๋อร์อย่างไร้ยางอาย ในขณะที่เธอเกือบจะครางเสียงออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาก็รีบใช้มือไปปิดปากของเธออย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก