คิกคิก..........
มีเสียงหัวเราะคิกคักดังลอดออกมาจากกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่
โม่โยวตกใจกับคำพูดที่กล้าหาญของลูกชายตนเอง รีบอุ้มเจ้าตัวยุ่งขึ้นมา “ท่านป้าพวกเรามีธุระที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบเธอก็รีบจากไปในทันที กลัวว่าถ้าอยู่นานกว่านี้อีกแม้เพียงวินาทีเดียว อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ที่ด้านหลังก็มีเสียงอันโกรธขึ้งของพานจื้อหลานดังไล่มา
“แม่ พวกเราไม่ต้องไปกลัวป้าแก่คนนั้นหรอก” ลู่อันหรานหรานคัดค้านไม่เห็นด้วย
โม่โยวถอนหายใจออกมา บีบจมูกเจ้าตัวเล็กอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ตัวก็เล็กนิดเดียว ใจใหญ่ใจกล้าไปหน่อยหรือเปล่า”
เจ้าตัวน้อยทำปากยื่น เอามือกอดอก “หึ ผมไม่กลัวเธอหรอก ใครใช้ให้มาว่าผมกันล่ะ ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้นะ จะต้องเก็บยัยป้าแก่คนนั้นแน่”
เธอเม้มริมฝีปาก ในใจรู้สึกผิดละอายใจ “ขอโทษด้วยนะอันหราน แม่ทำให้ลูกเข้าไปพัวพันจนเกิดเรื่องขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแม่ล่ะก็ หนูก็จะไม่โดนเธอด่าแล้ว”
“แม่ นี่แม่ไม่ได้มีส่วนผิดด้วยเลยนะ เป็นความผิดของป้าคนนั้นต่างหาก” ลู่อันหรานทำปากยื่นด้วยความไม่พอใจ
เธอส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ในใจกลับรู้สึกสับสนไปหมด เกิดเรื่องเมื่อสักครู่นี้ทำให้เรื่องของเธอกับตระกูลโม่นั้นยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้นไปอีก ท่านป้าโม่จะต้องยิ่งไม่ยินยอมให้ตนเองแต่งงานกับเทียนยวี๋เป็นแน่
แต่ว่าอันหรานเป็นลูกชายของเธอ ต่อให้จนท้ายที่สุดแล้วจะไม่ได้แต่งงานกับเทียนยวี๋ขึ้นมาจริงๆ เธอเองก็จะไม่ยอมให้ลูกของตนได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่พานจื้อหลานได้รับการเชื้อเชิญจากผู้จัดการห้างสรรพสินค้าให้ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็รีบโทรศัพท์ออกไปหาลูกชายตนเองทันที เพียงแค่เปิดปากพูดก็ตะโกนออกไปโดยไม่สามารถระงับความโกรธที่ปะทุอยู่เอาไว้ได้
“เทียนยวี๋ แม่ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายเลยนะ ถ้าลูกไม่ยอมตัดความสัมพันธ์กับโม่โยวยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นล่ะก็ ฉันก็จะถือว่าไม่มีลูกแบบแก ถ้าคิดที่จะเอานังจิ้งจอกแพศยานั้นเข้าประตูตระกูลโม่มา ก็ต้องข้ามศพแม่ไปก่อน”
โม่เทียนยวี๋ได้ยินถึงน้ำเสียงที่ราวกับว่ากำลังโกรธขึ้งอยู่ของแม่ตนเอง ฟังลมหายใจอันหอบหนักนั้นแล้ว ก็สะกดกลั้นความเหลืออดเอาไว้อยู่ภายในใจ ไม่กล้าที่จะกระตุ้นยุแหย่เธอมากนัก
“แม่ เกิดอะไรขึ้นอีกครับเนี่ย อย่าพึ่งโกรธนะ ผมจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด มีเรื่องอะไรก็รอผมไปถึงบ้านแล้วค่อยคุยกันนะครับ”
“ลูกแม่ ลูกไม่รู้เลยว่ายัยผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นมันรังแกแม่อย่างไรบ้าง แม่มีชีวิตมาจนแก่ปูนนี้แล้ว พึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ถูกทำให้อับอายถึงขนาดนี้ ฉันไม่ขออยู่ต่อไปแล้ว”
พานจื้อหลานก็โกรธอยู่ แต่ที่อยากจะร้องไห้ออกมานั้นก็เป็นความจริงด้วยเช่นกัน ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งแค้นเคือง น้ำตาจึงไหลรินออกมา
“ตอนนี้ยัยผู้หญิงคนนั้นมันไม่ไหวแล้วนะ วันนี้มันไม่เพียงแต่จะกล้าเตะแม่ ยังสาดกาแฟใส่หน้าแม่อีกต่างหาก ถ้าเป็นลูกแม่จริงล่ะก็ ต้องรีบกลับมาสั่งสอนยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นให้แม่ แม่ของแกถูกรังแกจนจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
เธอผลักเอาทุกสิ่งอย่างที่ลู่อันหรานทำไปให้เป็นความผิดของโม่โยว ซ้ำยังไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าลู่อันหรานเป็นเพียงเด็กน้อยอายุประมาณ 5-6 ขวบเท่านั้น
อะไรนะ โม่เทียนยวี๋สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่า
โม่โยวเตะแม่ของเขา แถมยังสาดกาแฟใส่แม่ของเขาอีก บทบาทมันสลับกันแล้วหรือเปล่า หากแม่ของเขาเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ยังจะดูเป็นไปได้มากกว่าเสียอีก เขาไม่เชื่อในสิ่งที่แม่ของเขาพูดเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่พานจื้อหลานพูดถึงเรื่องที่ตนไม่ได้รับความชอบธรรมแล้ว ก็ยังไม่ลืมที่จะเล่นละครฉากเศร้าเคล้าน้ำตาต่อหน้าลูกชายของตนเอง
“ลูกแม่ ฟังแม่พูดนะ วันนี้แม่ไปบังเอิญเจอเข้ากับโม่โยว ยัยชั้นต่ำนั่น ที่ข้างกายเธอมีเด็กผู้ชายอายุประมาณ 5-6 ขวบ ไอ้เด็กเวรนั่นมันยังเรียกเธอว่าแม่ด้วยซ้ำ แกรู้บ้างไหมเนี่ย”
“เทียนยวี๋ ตระกูลโม่ของพวกเรานับว่าเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาอยู่เยอะ โม่โยวทั้งอยากจะแต่งงานกับลูก ทั้งยังพาลูกชายตัวเองออกมาวิ่งแจ้นไปทั่วอย่างกับลิงแบบนี้ ถ้าเรื่องนี้ถูกลือไปทั่วเข้าล่ะก็ พวกเราตระกูลโม่ก็คงไม่เหลือหน้าแล้วล่ะ”
“แม่ว่ามันน่ะจงใจ เธอคิดว่าลูกไม่มีน้ำยา เดิมทีมันก็ไม่ได้มองว่าลูกหรือตระกูลโม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว พวกเราหุงข้าวเลี้ยงเสียข้าวสุกแล้วล่ะ”
พานจื้อหลานหาจังหวะโอกาสเหน็บแนมโม่โยวอยู่ตลอดไม่มีหยุดพัก คาดหวังเอาไว้ว่าจะสร้างทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเธอเข้าไปในสมองของลูกชายได้ แต่ก็ออกมาไม่เป็นผลตามคาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก