เขาพูดอย่างโศกเศร้าเป็นที่สุด โม่โยวฟังจนเจ็บปวดใจทนไม่ไหว จะไปกลั้นใจพูดปฏิเสธได้อย่างไรกัน จึงรีบเอ่ยปากตอบตกลงไปในทันที กลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะร้องไห้งอแงออกมาเสียก่อน
ลู่อันหรานชูสองนิ้วขึ้นมาภายในใจ รีบพูดขึ้นว่า “แม่ งั้นตอนนี้แม่ก็รีบกลับไปเก็บของดีกว่านะ เที่ยวบินรอบหกโมงครึ่ง ผมกับพ่อจะไปรับตอนห้าโมงเย็นนะ บายบาย”
ปากเล็กๆ ของเขาพูดออกมาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว กล่าวเสร็จก็รีบวางสายลงไปเลยทันที ส่งสัญญาณมือว่าโอเคไปให้พ่อตนเอง จากนั้นก็กระโดดลงมาจากเตียง ดึงกระเป๋าเดินทางลายไอร่อนแมนออกมาจากใต้เตียง
ก็เป็นไปตามนี้ รอจนกระทั่งเมื่อโม่เทียนยวี๋ออกมาจากสนามบินภายในประเทศแล้วโทรศัพท์ออกไปหาโม่โยว ก็จะพบว่าเธอปิดโทรศัพท์มือถืออยู่ เนื่องจากว่าเธอได้ออกไปกับสองพ่อลูกตระกูลลู่แล้ว นั่งเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังประเทศเอฟ
ไม่เพียงเท่านั้น ลู่จิ้นยวนยังแอบเอาโทรศัพท์ของโม่โยว มาใส่รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ของโม่เทียนยวี๋ให้กลายอยู่ในรายการแบล็คลิสต์อีกต่างหาก เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกรบกวนในช่วงหลายวันนี้ รอจนกลับไปค่อยแอบไปจัดการ ทีนี้เรื่องนี้แม้แต่ผีสางนางไม้ก็ไม่อาจที่จะทราบได้เลย
ความจริงแล้ว ลู่จิ้นยวนอยากมาพักร้อนกับโม่โยวสองต่อสองที่ต่างประเทศ ส่วนไอ้ลูกชายก็ถูกเขามองอย่างเย็นชาว่าเป็นก้างขวางคอไปแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะนี่ก็เป็นก้างที่จำเป็นจะต้องอยู่ด้วย
ตอนที่ทั้งสามคนเดินทางมาถึงประเทศเอฟก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว เข้าไปในห้องชุดของโรงแรม โม่โยวยังคงนอนด้วยกันกับเจ้าตัวเล็ก ส่วนลู่จิ้นยวนนั้นก็นอนให้ห้องคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
วันรุ่งขึ้น ลู่อันหรานเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุดก่อนคนอื่น รีบปลุกโม่โยวกับลู่จิ้นยวนให้ตื่นขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาเที่ยวด้วยกันกับทั้งพ่อและแม่ ไม่มีอะไรที่จะมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว
ตอนที่ลงไปกินอาหารเช้าที่ชั้นล่างของโรงแรมนั้น ลู่อันหรานก็ได้รับข้อความมาหนึ่งข้อความ ถูกส่งมาจากพ่อที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะอาหาร
เนื้อหาในข้อความคือ ไอ้ลูกชาย กินข้าวเสร็จแล้วก็หาข้ออ้างไปอยู่คนเดียวในห้องซะ ฉันกับแม่ของลูกจะออกไปใช้เวลาด้วยกันสองต่อสองตามประสาผัวเมีย
พฤติกรรมนี้ที่ไม่มีเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ลู่อันหรานเจ้าตัวน้อยโมโหขึ้นมาในทันที ทำปากยื่นจ้องไปที่พ่อตาเขม็ง ส่งเสียงร้องฮึ่มฮั่มอยู่ในใจ รีบหันไปส่งรอยยิ้มหวานให้โม่โยวราวกับเด็กที่มักจะถูกตามใจ
“แม่ พวกเรากินข้าวเสร็จแล้วไปไหนกันดีฮะ ผมอยากไปเที่ยวเล่นที่ริมหาด แล้วก็อยากนั่งรถสวยๆ พ่อมีงานต้องทำ ก็คงจะมีแค่พวกเราสองคนที่ไปเที่ยวกัน”
ลู่จิ้นยวนตะลึงตาค้าง จ้องเขม็งไปที่ไอ้ลูกชายที่คิดทรยศเขา แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ผมไม่มีงานอะไรที่จะต้องทำ ไปด้วยได้”
“งั้นเหรอ แต่ว่าพ่อฮะ ไม่ใช่ว่าพ่อมาที่เพื่อมาทำงานหรอกเหรอ ทำไมถึงไม่มีงานให้ทำล่ะฮะ” ลู่อันหรานทำหน้าซื่อตาใสกล่าวออกมาด้วยความใคร่รู้
เขาทำหน้าดำเคร่งเครียดมองไปที่เจ้าตัวเล็ก แววตากำลังส่งสัญญาณตักเตือนออกมา
ลู่อันหรานทำปากยื่น ส่งเสียงฮึ่มออกมาเบาๆ แล้วหันหน้าไปมองโม่โยว “แม่ครับๆ ป้อนผมหน่อยได้ไหมครับ”
ในเมื่อเขาอายุเพียงแค่ 5 ขวบ อยากจะทำอะไรก็ย่อมได้ ทำท่าทางน่ารักออดอ้อนเอาแต่ใจอย่างไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่นิดเดียว
โม่โยวก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่ว่าโต๊ะอาหารนั้นใหญ่เกินไป ระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่เอื้อต่อการป้อนข้าว เธอจึงอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมานั่งลงบนตักของตนเอง
ก็เกิดภาพอันรักใคร่ของสองแม่ลูก ป้อนกันคนละคำสองคำ กินข้าวกันอย่างหวานชื่น ลู่จิ้นยวนที่มองดูอยู่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม อดไม่ไหวที่จะตำหนิขึ้นมา “โตจนขนาดนี้แล้วยังต้องให้ป้อนอยู่อีก กินเองไม่เป็นหรือไง”
เจ้าตัวน้อยเบะปาก ลำตัวแข็งเกร็ง มีท่าทีรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่เล็กน้อย “แม่ครับ งั้นผมกินเองก็ได้ครับ”
โม่โยวมีหรือจะทนไหว รีบหอมเขาแล้วพูดง้อปลอบโยนในทันที “ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ป้อนให้เองนะ”
ขณะที่พูดก็อดที่จะหันไปมองลู่จิ้นยวนเสียทีหนึ่งไม่ได้ ในแววตาปรากฏความไม่เห็นด้วย น้ำเสียงก็ไม่สบอารมณ์ “ประธานลู่คะ อันหรานยังเด็กอยู่เลย จะให้ผู้ใหญ่ป้อนก็ไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ คุณเข้มงวดเกินไปหรือเปล่า”
ลู่จิ้นยวน “..............”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงแค้นแสนรัก