ภายนอกตำหนักกลาง
“จอมพล ให้คุณต้องเหนื่อยแย่แล้ว” ชิงตี้ช่วยฟางเหยียนปลดผ้าสีดำที่ปกคลุมบริเวณตาออก พร้อมทั้งเอ่ยด้วยความสุภาพนอบน้อมว่า: “ไม่ใช่ว่าฉันต้องการแบบนี้หรอกนะ แต่ว่ามีบางเรื่องที่ยังให้คุณรู้ไม่ได้ ยกโทษให้ด้วยเถอะนะ”
สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันของชิงตี้ ฟางเหยียนไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยด้วยเลย ทว่าการปิดตานี้ทำให้เขารับไม่ได้เล็กน้อย ฟางเหยียนใจกว้าง แต่ไม่ได้แสดงว่าเทียนขุยก็เป็นเช่นนี้ด้วย ตลอดทางที่มาราวกับว่ามีคนยกเกี้ยวให้พวกเขานั่ง ไม่ต้องเดินเอง ทว่านี่ทำให้เขาเกรี้ยวกราดเสียจริง
ไม่จริงใจเลยสักนิด!
จะไปร่วมมือกันได้อย่างไร?
ในเมื่อเลือกที่จะพบเจอกันอย่างจริงใจแล้ว เช่นนั้นเหตุใดต้องปิดตาเอาไว้ด้วย ป้องกันใครกัน?
เทียนขุยตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห: “โผ้จวิน พวกมันรังแกกันเกินไปแล้ว ผมทนไม่ไหวแล้ว!”
ชิงตี้กำลังจะปริปากขึ้น ครั้นอยู่ๆ ข้างหลังของทั้งสามคนก็มีเสียงดังขึ้นมา
“ไม่นึกเลยว่าจะกล้าเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ตำหนักกลาง ฉันว่าแกคงอยากตายสินะ!”
เทียนขุยหัวเราะเยาะกลับ ด้วยความโมโห แรงโทสะเต็มท้องแต่เดิมยังไม่ได้ระบายออก เขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไปหรอก! ไม่รอให้ฟางเหยียนออกคำสั่ง เทียนขุยพุ่งเข้าไปทันที มือถือดาบและทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ล้มฟุบลงบนพื้น
เขาไม่ได้เอ่ยอันใดมากมาย ช่วงเวลานี้ต้องการเพียงระบายอารมณ์โกรธที่กักเก็บไว้ออกไป ทว่าเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงได้กลายมาเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของเขาทันที! เขาลดความโกรธลงไปเกินครึ่ง เทียนขุยไม่ได้ลงมือถึงขั้นตาย ไม่เช่นนั้นพวกเขาสองคนคงไม่ได้ร้องโหยหวน แม้แต่ร้องโหยหวนก็ยังไม่มีโอกาสเลย
หากไม่ใช่เพราะต้องการจัดการอะไรที่ใหญ่กว่านี้ บางทีเขาอาจฆ่าทั้งสองคนนี้ไปจริงๆ ก็ได้
การลงมือก็เป็นการกระทำที่พลการ ถ้าทำให้แผนการของจอมพลล้มเหลว นี่ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสพอสมควร!
เทียนขุยกักเก็บแรงเหี้ยมโหดของตัวเอง ไม่กล้ามองไปยังฟางเหยียนโดยสิ้นเชิง ท่าทางนั้นราวกับเด็กน้อยที่กระทำผิด ที่กำลังรอการตำหนิจากผู้ปกครองอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทว่ารอมาเนิ่นนาน ก็ไม่เห็นฟางเหยียนปริปาก เขาจึงได้โล่งใจไปยกใหญ่
“โผ้จวิน ผมจงใจเอง ลงโทษผมด้วยเถิด”
ฆ่าคนก็ต้องประณาม!
ไม่มีความนึกย้อนเสียใจเลยแม้แต่น้อย!
ช่างอวดเก่งเกินไปจริงๆ !
ฟางเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด เขาไม่ทราบได้อย่างไรว่าเทียนขุยจงใจ จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการระบายอารมณ์ คิดไปแล้วก็จริง ในเมื่อเชิญมาแล้ว ยังเล่นแง่ไม่เข้าท่านี้อีก ใครจะรับไหว? อีกอย่าง เทียนขุยคือสหายของเขาเอง เขาจะลงโทษสหายตัวเองเพียงเพราะคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องนี้ได้อย่างไร?
เขาอนุญาตแล้ว!
ฉากนี้ ทำให้ชิงตี้ต้องอึ้งไปเลย!
ก่อนที่จะลงมือไม่ได้พูดพล่ามอันใดเลย? อยู่ที่นี่ยังกล้าที่จะลงมืออีกอย่างนั้นหรือ อวดเบ่งขนาดนี้เชียว?
บังอาจเกินไปแล้ว!
จนกระทั่งเธอได้ยินคำพูดของเทียนขุย ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ไม่มีความรู้สึกนึกเสียใจ ทว่ายังจงใจกระทำเช่นนี้ นี่ถึงจะเรียกว่ารังแกคนอื่นเกินไป!
ชิงตี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “นายคิดว่า ฉันไม่กล้าฆ่านายจริงๆ งั้นเหรอ?”
สำหรับคำขู่ของชิงตี้ เทียนขุยทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาแค่นหัวเราะและเอ่ยว่า: “ลองดูไหมล่ะ?”
ขณะที่เอ่ย ทั้งสองคนก็เริ่มที่จะลงมือ ฟางเหยียนจึงได้เอ่ยขึ้นมา: “เทียนขุย อีกเดี๋ยวถึงจะเป็นเรื่องสนุกนะ ออมแรงเอาไว้ก่อน”
เทียนขุยไม่เอ่ยอันใด ทว่าความท้าทายที่อยู่ในดวงตากลับไม่ลดน้อยลงเลย กลับกันยังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เทียนขุยไม่ใช่คนโง่ แน่นอนต้องทราบว่าที่ฟางเหยียนเอ่ยเมื่อครู่นี้ก็เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กับเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะกระทำอันใดต่อ และไม่กล้าทำตัวอาจหาญเกินไป
การต่อสู้ยุติลงทันที ทั้งสองคนต่างก็กักเก็บโทสะเอาไว้เต็มอก และในขณะที่กำลังจะผลักเปิดประตูตำหนักกลางนั้น สองคนที่อยู่บนพื้นก็จงใจหาเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง!
พวกเขาทั้งสองประคองกันลุกขึ้นมา ใบหน้าบวมรวมกับหัวหมู ต่างก็มีทาทีไม่ยอมเลิกรา
“หยุดนะ ทำร้ายคนอื่นแล้วคิดจะหนีงั้นเหรอ? คิดว่าพวกเรารังแกง่ายจริงๆ งั้นเหรอ?”
ชิงตี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน สองคนนี้โง่หรือเปล่า? รนหาเรื่องชัดๆ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าเรื่องราวถูกระงับเอาไว้อย่างฝืนใจแล้ว ยังจะมาสนใจศักดิ์ศรีตัวเองอะไรอีก? ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว แล้วยังจะรนหาเรื่อง? ในสมองจะต้องมีแต่ขี้เลื่อยแน่นอน!
เธอกำลังคิดจะตำหนิสองคนที่ไม่รู้เรื่อง เทียนขุยก็เบิกบานขึ้นมาทันควัน หันหลังกลับ ยิ้มอย่างเย็นชาเอ่ยว่า: “ก็ฉันจะรักแกแกแล้วจะทำไม? แน่จริงก็มาทำร้ายฉันสิ!”
อวดเบ่ง บังอาจ ไม่สนใครในสายตาโดยแท้จริง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ