จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 486

สรุปบท บทที่ 486 มุ่งสู่มณฑลซีหนิง: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

ตอน บทที่ 486 มุ่งสู่มณฑลซีหนิง จาก จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 486 มุ่งสู่มณฑลซีหนิง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ ที่เขียนโดย จูผาซู่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ที่แท้เธอเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์หลินโจวนี่เอง

ทันใดนั้นซูหนันก็รู้สึกว่า ความรู้สึกที่ถูกฉีดน้ำเกลือก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่

แต่ดูเหมือนจะถูกเธอเข้าใจผิดว่าเป็นพวกที่ชอบมีเรื่องไปทั่ว เป็นนักเลงที่ทำเป็นแค่เรื่องต่อยตี

สำหรับการเข้าใจผิดแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อนซูหนันก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ว่าตอนนี้จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากจะอธิบายให้เธอเข้าใจ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง

แต่ว่า ไม่รอให้ซูหนันพูดออกมา จงเฟยหยู่ที่เปลี่ยนน้ำเกลือเรียบร้อย ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “หลังจากที่น้ำเกลือนี้หมด คุณก็ออกไปซะ! พ่อแม่ฉันใกล้จะกลับมาแล้ว อย่าให้พ่อแม่ฉันเห็นเข้าล่ะ”

จู่ๆหัวใจของซูหนันก็เหมือนตกลงสู่ก้นเหว รู้สึกเหมือนจิตใจว่างเปล่า คำพูดที่อยากจะพูดเมื่อกี้ก็ลืมไปหมดแล้ว

“นี่ฉันโดนรังเกียจแล้วงั้นเหรอ?”

จงเฟยหยู่ไม่ได้รับรู้เลยว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มที่เป็นนักเลงในสายตาของเธอ ได้เกิดความคิดมากมายในหัวสมองของตัวเอง

หันหลังเดินจากไป

“รอเดี๋ยว!” จู่ๆซูหนันก็ห้ามเธอไว้

“ทำไม? ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ?” จงเฟยหยู่หันกลับมา มองซูหนันด้วยสายตาเย็นชา

ซูหนันรู้สึกว่ามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่ว่าพอจะเปิดปากพูด ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี

“ถ้าเกิดคุณไม่พูดฉันจะไปแล้วนะ?” จงเฟยหยู่ขมวดคิ้วที่สวยงามของตัวเองขึ้นมา รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้แปลกเล็กน้อย

ซูหนันทำหน้าจริงจัง จ้องมองจงเฟยหยู่ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ใช่คนเลว”

เหอะเหอะ!

จงเฟยหยู่เผลอหัวเราะออกมา

คนที่เขาเคยเจอครั้งแรก กลับใช้สีหน้าจริงจังในการอธิบายว่าตัวเองไม่ใช่คนเลว

“ฉันรู้แล้ว” จงเฟยหยู่เก็บรอยยิ้ม หันตัวแล้วเดินจากไป

ซูหนันทำหน้าอึ้ง รอยยิ้มเมื่อกี้ เหมือนกับดอกไม้งามที่เบ่งบานกะทันหัน หัวใจของเขา เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง

“เธอชื่อว่าจงเฟยหยู่!”

ชื่อที่อยู่ตรงบัตรนักศึกษา ซูหนันเห็นมันในทันที แถมยังจำมันอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนกับประทับตราอยู่ตรงหัวสมอง

ดึงเข็มฉีดยาออก ซูหนันแอบเดินจากไป ในเมื่อเธอกลัวพ่อแม่มาเห็น งั้นซูหนันก็จะไม่ทำให้เธอลำบากใจ

แต่ว่า มือถือได้หายไประวังหลบหนี ซูหนันยังไม่รู้ว่าหลินหยุนได้กวาดล้างสำนักเจ็ดดาวแล้ว เขายังคิดว่าทะเลสาบเยว่หยาโดนสำนักเจ็ดดาวยึดไปแล้ว

เขาหาสถานที่ข้างทาง เพื่อรักษาบาดแผลตัวเอง รอให้แผลหายก่อน ค่อยกลับไปตรวจสอบทะเลสาบเยว่หยา

ทะเลสาบเยว่หยาที่ผ่านสงครามมา มีความเสียหายอยู่ทุกๆที่ ใช้เวลาไปห้าวันเต็มๆ ถึงซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิม

พลังทิพย์ที่อยู่ในร่างของหลินหยุนก็ฟื้นฟูจนกลับมาอยู่ในระดับสูงสุด เขายืนอยู่บนดาดฟ้า จ้องมองเหล่าคนงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานกลบที่ดินเป็นที่สุดท้าย หลินหยุนรู้สึกว่าต้องวางค่ายกลฮู่ซาน เอาไว้ก่อน

ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องอย่างครั้งนี้ที่เขาไม่อยู่ เพื่อนและครอบครัวของเขาเมื่อพบเจอกับอันตราย กลับไม่มีสถานที่เอาไว้หลบภัยด้วยซ้ำ

ถ้าเกิดมีค่ายกลฮู่ซาน ต่อให้เจอกับอันตราย อย่างมากก็แค่เข้าไปหลบอยู่ในค่ายกลฮู่ซาน

แค่พึ่งผลลัพธ์ภาพลวงตาจากค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ ก็เพียงพอที่จะป้องกันเหล่านักบู๊ธรรมดาแล้ว แต่กลับไม่สามารถป้องกันนักบู๊ที่แข็งแกร่งได้

แต่น่าเสียดาย หินหยกที่เขาเอากลับมาจากสำนักมนตร์ดำ ไม่เพียงพอที่จะสร้างค่ายกลฮู่ซาน

“บางที ข้างในสำนักเจ็ดดาวอาจจะมี”

หลินหยุนก้าวเท้า ออกมา ราวกับเดินอยู่บนก้อนเมฆ ค่อยๆลงสู่พื้น

“พวกเจ้า พาข้าไปที่สำนักเจ็ดดาว”

เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาวไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย “ครับ!”

ในตอนที่หลินหยุนกำลังเตรียมที่จะออกเดินทาง เจี่ยงสงก็วิ่งมาหาด้วยความรีบร้อน

“ปรมาจารย์หลิน คุณกำลังจะไปที่ไหนงั้นเหรอ?” พอเห็นหลินหยุนกำลังจะออกไปข้างนอก เจี่ยงสงจึงถามด้วยความตกใจ ครั้งนี้ที่หลินหยุนออกไป แล้วโดนสำนักเจ็ดดาวโจมตี ทำให้เจี่ยงสงเกิดความกังวลในใจขึ้นมา

หลินหยุนไม่ได้ตอบคำถามเขา มองหน้าของเขา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“ท่านปรมาจารย์หลิน ดูเหมือนว่าคนเฝ้าสำนักพอได้ข่าวการตายของเจ้าสำนัก ก็หนีออกไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความเขินอาย

หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พอไม่มีเสาหลักก็พังทลายไปจนหมด!”

“เดาว่าทรัพย์สมบัติของสำนักเจ็ดดาวของพวกเจ้า ก็คงถูกคนพวกนั้นเอาไปหมดแล้ว”

“ท่านปรมาจารย์หลิน ข้าจะพาท่านไปยังคลังเก็บสมบัติของสำนัก” ชายหนุ่มคนหนึ่งอาสาสมัคร เขาเคยเป็นศิษย์ที่ทำหน้าที่ในการเฝ้าคลังสมบัติของสำนัก

“นำทาง!” หลินหยุนพูด

พอมาถึงคลังเก็บสมบัติของสำนักเจ็ดดาว ประตูใหญ่ถูกเปิดทิ้งอย่างที่คาดเอาไว้ ข้างในว่างเปล่า บนพื้นยังมีเศษภาพของตำราที่ถูกฉีกขาด

ลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูคนนั้นเก็บชิ้นส่วนของตำราขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ไอ้พวกไม่รู้จักคุณค่า นี่เป็นวิชาการบำเพ็ญเทพของสำนักเจ็ดดาว กลับโดนพวกเขาฉีกขาดเหมือนกับเป็นขยะ”

“คิดว่าน่าจะขาดตอนที่กำลังแย่งกัน” ลูกศิษย์อีกคนพูดด้วยเสียงเบาๆ

หลินหยุนไม่ได้สนใจเหล่าผู้คนที่กำลังเศร้าเสียใจอยู่หน้าประตู เอามือไขว้หลัง แล้วค่อยๆเดินเข้าไป

คลังเก็บสมบัติว่างเปล่า ไม่เหลือของสักชิ้นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ กล่องไม้ที่อยู่ในมุมหนึ่ง โดนทุบจนแหลกละเอียด ชั้นวางก็ถูกรื้อจนหล่นลงไป เศษไม้กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

เห็นได้ชัดว่า ที่นี่เคยเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นมา

“กล่องไม้พวกนั้น เป็นที่เก็บหยกทิพย์ ชั้นวางเป็นที่เก็บวิชาบู๊กับวิชาเต๋า ทางนั้นเป็นที่เก็บโอสถกับวัตถุดิบในการปรุงยา” ลูกศิษย์คนนั้นที่เคยทำหน้าที่เฝ้าคลังเก็บสมบัติของสำนักตามเข้ามาแล้วพูดด้วยเสียงโศกเศร้า

“ไม่เหลือสักอย่าง ล้วนโดนพวกมันขโมยไปหมดแล้ว” เหล่าลูกศิษย์ต่างก็แสดงใบหน้าโมโหออกมา จนเริ่มด่าทอออกมา

“ไอ้พวกทรยศ ล้วนเป็นพวกทรยศ!”

หลินหยุนหันไปมองพวกเขา พูดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใช่คนทรยศ

เหล่าลูกศิษย์พอรู้สึกถึงสายตาของหลินหยุน ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบก้มหน้าลงไปด้วยความอับอาย

หลินหยุนกวาดสายตามองคลังเก็บสมบัติ ไม่เจออะไรทั้งนั้น ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะต้องกลับไปมือเปล่าสักแล้ว

แต่ว่า ในตอนที่หลินหยุนกวาดสายตามองไปยังข้างล่างกล่องไม้ที่พังทลาย พอเห็นหินสีดำที่ยาวประมาณห้าเมตร กับกว้างประมาณสองเมตร จู่ๆก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง

ทันใดนั้น แววตาก็เผยความดีใจออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์