สรุปตอน บทที่ 495 พบศัตรู – จากเรื่อง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่
ตอน บทที่ 495 พบศัตรู ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดยนักเขียน จูผาซู่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
โห้หมิงเหลียวมองหลินหยุน ก่อนจะทำการตัดสินใจที่น่าตกตะลึงออกมา
“โห้ซือหนัน!” โห้หมิงทำสีหน้าจริงจัง
โห้ซือหนันถึงกับผงะ เธอไม่เคยเห็นพ่อของตัวเองใช้สีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้ในการพูดคุยกับเธอมาก่อนเลย
“คุณพ่อ!” โห้ซือหนันหลุดพูดออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“ตอนนี้ฉันกำลังจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลโห้ให้กับเธอ หลังจากนี้เธอจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลโห้รุ่นที่เก้า ทุกอย่างในตระกูลโห้จะขึ้นอยู่การตัดสินใจของเธอ” โห้หมิงกดสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น
“อะไรนะคะ!” โห้ซือหนันถึงกับนิ่งอึ้ง เธอมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ว่าเพราะอะไรโห้หมิงถึงได้ส่งมอบตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลโห้ให้กับตัวเธอในเวลาแบบนี้
โห้หมิงพูดต่อ: “โห้ซือหนัน ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลโห้แล้ว ฉันมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะขอ หวังว่าหลังจากนี้เธอจะสามารถพาตระกูลโห้ของเราให้เดินต่อไป ภายใต้คำสั่งของปรมาจารย์หลิน หลังจากนี้ตระกูลโห้ของเราจะจะรับฟังและทำตามคำพูดของปรมาจารย์หลินเป็นสำคัญ”
“ห๊า!” โห้ซือหนันราวกับไม่สามารถยอมรับการตัดสินใจอย่างกะทันหันนี้
แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของเธอ เพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถเข้าใจถึงความคิดของโห้หมิง
ซึ่งคงจะบอกเลยว่า การกระทำนี้ของโห้หมิง ถือเป็นการกำลังช่วยเหลือตระกูลโห้อยู่
ทางด้านโห้หมิงนั้นไม่ได้ดึงดันให้โห้ซือหนันตัดสินใจยอมรับในทันที แต่เพียงพูดด้วยสีหน้าที่อ้อนวอน : “ซือหนัน ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลโห้แล้ว ฉันไม่มีอำนาจอะไรที่จะสั่งการเธอได้อีก แต่ขอเพียงแค่เธอจะสามารถนำพาตระกูลโห้ของเราก้าวหน้าต่อไป”
“และแน่นอน สุดท้ายแล้วการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับมือของเธอ เธอสามารถเลือกที่จะตกลง หรือจะปฏิเสธก็ได้”
โห้ซือหนันจ้องมองโห้หมิง นับตั้งแต่ที่แม่ของเธอจากโลกนี้ไป หลายปีผ่านมานี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่โห้หมิงใช้น้ำเสียงที่เอาจริงเอาจังแบบนี้พูดกับเธอ ทั้งยังมอบทั้งตระกูลโห้ไว้ในกำมือของเธออีก
ตัวโห้ซือหนันถึงแม้จะเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น มีเรื่องบางอย่างที่เธอดูก็สามารถเข้าใจ คิดได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่กลับไม่สามารถลงมือทำออกมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลินหยุนเป็นเพื่อนของอันซิน ซึ่งก็นับว่าเป็นเพื่อนของเธอเหมือนกัน แล้วการที่จู่ๆ จะให้เธอเคารพจงรักภักดีต่อเพื่อน เรื่องนี้ทำให้โหซือหนันรู้สึกเป็นเรื่องที่น่าอายไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานนี้ในตอนที่หลินหยุนพูดว่าจะช่วยเธอจัดการกับตระกูลกง เธอยังยิ้มเยาะหลินหยุนอยู่เลยว่า เขาเป็นคนสติฟั่นเฟือน ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ
การที่ตอนนี้จะให้เธอยอมจำนนต่อหลินหยุน โห้ซือหนันทำไม่ลงจริงๆ
หลินหยุนถึงกับเหลียวหันไปมองโห้หมิงอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ การกระทำนี้ของโห้หมิง สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่หัวแหลมไร้ที่ติเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้ถึงจะเป็นทัศนคติอันสำคัญที่การจะเป็นผู้มีอำนาจควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างไร หลินหยุนก็อยากรู้เหมือนกันว่า ว่าโห้ซือหนันจะเลือกอย่างไร
แน่นอนว่าถ้าโห้ซือหนันประกาศว่าจะพึ่งใบบุญของเขา ไม่ว่าจะว่าด้วยหน้าของอันซิน หรือว่าสิ่งที่โห้ซือหนันได้ทำลงไปเมื่อสักครู่นี้เพื่อให้เขาและอันซินไปจากที่นี่ หรือด้วยความผูกพันของเธอที่ทำให้ต้องมายืนบังหน้าโห้หมิงเอาไว้แบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรหลินหยุนก็จะยอมตอบตกลงกับเธอ
อีกทั้งเขายังสามารถทำให้ตระกูลโห้กลายเป็นเจ้าพ่อมณฑลซีหนิง รับช่วงต่อการดูแลมณฑลซีหนิงจากตระกูลกง หรือแม้สิทธิ์การเป็นตัวแทนแต่น้ำแห่งชีวิตเองก็จะไม่มีการขอรับคืนอีกด้วย
โห้ซือหนันกัดฟันแน่น พร้อมกับมองไปยังหลินหยุนอย่างเงียบๆ จนผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้สักที
โห้ซือหนันหันหน้าขวับ แล้วโน้มตัวลงคำนับหลินหยุน : “ปรมาจารย์หลิน พวกเราตระกูลโห้ยินดีที่จะจำนนต่อคุณ ไม่ทราบว่าคุณจะรับไว้หรือไม่คะ "
“ได้” หลินหยุนตอบกลับอย่างเฉยเมย ทว่าท่าทีที่ปฏิบัติต่อโห้ซือหนันกลับเฉยชายิ่งกว่านั้นเป็นหลายเท่า
ถ้าหากโห้ซือหนันไม่ได้ตอบตกลงกับโห้หมิง อย่างนั้นเธอกับหลินก็จะยังเป็นเพื่อนกัน
แต่ว่าตอนนี้ เธอเป็นเพียงผู้อยู่ใต้บัญชาของหลินหยุนเท่านั้น
ตัวเลือกบางอย่าง เมื่อตัดสินใจทำไปแล้ว ก็จำต้องยอมรับผลที่จะตามมา
เมื่อทุกอย่างที่นี่สิ้นสุดลง หลินหยุนและอันซินก็กล่าวลา เดินทางออกจากมณฑลซีหนิง แล้วไปต่อยังสถานีถัดไป ซึ่งก็คือมณฑลซีไห่
อันที่จริงอันซินอยากที่จะเดินทางไปพร้อมกับหลินหยุน แต่ว่าเธอยังไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าหลินหยุนคือปรมาจารย์หลินได้ ดังนั้นเมื่อต้องยืนอยู่ต่อหน้าหลินหยุน เธอจึงมักจะมีความรู้สึกต้อยต่ำบางอย่าง
ในขณะที่หลินหยุนก็เข้าใจเป็นอย่างดี ซึ่งคงจะต้องให้เวลาเธอสักระยะในการปรับตัว และรอให้เธอสามารถก้าวข้ามความรู้สึกที่เป็นอุปสรรคในใจของเธอ
ณ มณฑลซีไห่ ซึ่งเป็นชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน มีพรมแดนที่ติดกับทะเลทรายปีศาจซาฮาราอันกว้างใหญ่ และเป็นอีกหนึ่งดินแดนที่ห่างไกลจากอำนาจของรัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างใหญ่และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ของมณฑลซีไห่ จึงทำให้ที่นี่ค่อนข้างมีความมั่งคั่ง
ซึ่งในซีไห่ สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และเหล่าโรมแรมรีสอร์ตที่พักต่างๆ
บางครั้งก็จะมีบริษัททั่วไปต่างๆ มาจัดงานประจำปี หรือจัดการแสดงคอนเสิร์ตของเหล่าศิลปินคนดัง หรือแม้แต่องค์กรหรือกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ก็เข้ามาเพื่อจัดพิธีลงนามต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีความนิยมให้จัดขึ้นในมณฑลซีไห่
มณฑลซีหนิงและมณฑลซีไห่นั้นมีระยะทางที่ห่างกันกว่าพันกิโลเมตร ดังนั้นหลินหยุนเลยต้องนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเดินทางไปที่นั่น
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน หลินหยุนก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของมณฑลซีไห่อย่างเมืองซินเฉิง
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” หลินหยุนถาม
หยางหยิงมองไปรอบๆ จากนั้นจึงพูด : “ที่นี่คนเยอะเกินไป ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยกัน พวกเราไปหาที่คุยกันสักหน่อยดีกว่า”
หลินหยุนและหยางหยิงนั่งเผชิญหน้ากัน ภายในห้องส่วนตัวอันแสนสงบของร้านกาแฟระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่ง
หยางหยิงรินชาให้กับหลินหยุนด้วยตัวเอง ส่วนตัวเองก็สั่งกาแฟบลูเมาท์เทนมาให้ตัวเองหนึ่่งแก้ว
“ฉันเดาไว้ตั้งนานแล้วว่าคุณจะต้องมา” เมื่อหยางหยิงรินชาให้หลินหยุนเรียบร้อย ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ
ดวงตาของหลินหยุนประกายออกมา พร้อมถามด้วยความสงสัย: “คุณรู้ว่าผมจะมาที่นี่?”
หยางหยิงเมื่อเห็นว่าหลินหยุนแสดงสีหน้าที่สงสัยแบบนั้น จึงอธิบายพร้อมรอยยิ้ม : “ก็สองในสามบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ของประเทศจีนอย่างบริษัทหวนตี้และบริษัทเกนเนอร์ ร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ในฐานะนักเรียนของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ จะไม่มาได้ยังไงกัน?”
“ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวนะ ฉันได้ยินมาอีกว่าเพื่อนร่วมสถาบันเหล่านั้นของคุณก็จะมาด้วยเหมือนกัน”
“หรือกระทั่งเหล่านักเรียนในสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์จากทั่วทั้งประเทศ ที่เพียงแค่มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ต่างก็สามารถเข้ามาร่วมชมงานนี้เหมือนกัน”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ หลินหยุนคิดว่าหยางหยิงจะรู้ว่าเขามามณฑลซีไห่เพื่อจัดการเรื่องของน้ำแห่งชีวิตซะอีก
จะยังไงตอนนี้ตัวตนของเขาก็ถูกเปิดเผยแล้ว ต่อให้เหล่านักเรียนร่วมสถาบันเหล่านั้นจะมาก็ช่างมัน
อย่างมากก็แค่ทำให้พวกเขาตกตะลึงก็เท่านั้น
จะว่าไปบริษัทหวนตี้และบริษัทเกนเนอร์ที่เป็นสองในสามบริษัทบังเทิงยักษ์ใหญ่ของจีน เดิมทีก็สามารถสร้างผลกำไรต่างๆ ได้มากมายอยู่แล้ว และเหล่าศิลปินที่อยู่ภายใต้การดูแลก็มีมากมาย แล้วภายในนั้นมีดาราที่กำลังโด่งดังก็เยอะเหมือนกัน
แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้ร่วมมือกันกะทันหันแบบนี้ ?
โดยปกติแล้ว การที่บริษัทจะมีการผนึกรวมกัน ล้วนเกิดจากการบริหารที่มาถึงขีดจำกัดแล้ว แต่สองบริษัทที่สามารถกอบโกยเงินได้มหาศาลแบบนั้น ทำไมถึงได้รวมกัน?
หลินหยุนถาม: “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเขาถึงต้องรวบกิจการเข้าด้วยกัน?”
หยางหยิงถึงกับมองไปยังหลินหยุนอย่างแปลกใจทันที: “นี่คุณไม่รู้จริงๆ ?หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันเนี่ย?”
หลินหยุนส่ายหน้า: “ผมไม่รู้จริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์
จบแค่นี้จริงดิ ไม่มั้ง เหมือนคนเขียนโดนตัดจบใน 5 ตอน อะไรกันนี่ อ่านถึงประมาณตอนที่ 1,500-1,600 พอละ หลังจากนั้นเละ ช่วงสุดท้ายนี่มั่วบ้านงานมั่ก ๆ...
1...
1...
1...
1...
นิยายจีนหลายๆหรือเกือบทุกเรื่องจะจบแบบงง..เหมือนคนแต่งจบไม่เป็น..คือเนื้อเรื่องแต่งไปได้เรื่อยๆแต่หาตอนจบไม่เจอคือถ้าจะจบก็จบแบบงง..หนักสุดน่าจะเรื่องฉินหรังละครับ.ฉินหรังไปสถานที่หนึ่งได้ต้นไม้แล้วโดนระเบิดออกมาอีกทีก็1ปีผ่านไป ไปหาแม่แล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ จงหยู่นางเอกต้นเรื่องหายไปเลย ฉินหรังได้กลับนางฟ้า ผมนี้งงเลยคนแต่งน่าจะเมาแฟบนะ...
จบแบบงงๆครับ...